tag:blogger.com,1999:blog-65316539201617656132024-02-19T07:16:02.494-08:00สื่อการเรียนการสอนเด็กปฐมวัยnomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.comBlogger34125tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-46242240228127482152011-06-10T23:33:00.001-07:002011-06-10T23:33:40.233-07:00คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<span style="font-size: large;">คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย </span><br />
<span style="font-size: large;"><img align="left" hspace="3" src="http://www.pantown.com/data/87/content1/f1.gif" /></span>คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
(Using Computers in Pre-school)<br />
<br />
แนวคิดทฤษฎีและหลักการคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย ความรู้พื้นฐานในคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย การเลือกและการจัดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ เทคนิคการสอนคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย การฝึกฝนปฏิบัติการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย การวัดและการประเมินผลการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย ครูและผู้ปกครองกับการจัดโปรแกรมเพื่อส่งเสริมประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
e-learning : <a href="http://tcu.npru.ac.th/" target="_blank">http://tcu.npru.ac.th/</a> <br />
จุดประสงค์ของวิชา<br />
<br />
1. เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎีและหลักการของคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
2. สามารถอธิบายเทคนิคการสอน การเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมพัฒนาการต่าง ๆ ตลอดจนสามารถจัดกิจกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย<br />
3. ให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติการใช้คอมพิวเตอร์และสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
<br />
หัวข้อวิชา (course outline)<br />
<br />
1. แนวคิด ทฤษฎี หลักการ และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
2. การเลือก การจัดโปรแกรม การวัดและการประเมินผลการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ<br />
3. บทบาทของครูและผู้ปกครองในการจัดกิจกรรม เพื่อการส่งเสริมประสบการณ์และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย<br />
4. เทคนิคการสอนคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
5. การจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นมัลติมีเดียสำหรับการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย<br />
6. การใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานกับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (Microsoft Windows)<br />
7. ระบบคอมพิวเตอร์และมัลติมีเดียสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
8. การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
9. การใช้โปรแกรมสำเร็จรูป Microsoft Office ขั้นพื้นฐาน<br />
10. การใช้โปรแกรมกราฟิก Adobe Photoshop ขั้นพื้นฐาน<br />
11. การใช้โปรแกรมบันทึกเสียง CoolEdit ขั้นพื้นฐาน<br />
12. การใช้โปรแกรมนำเสนอ Microsoft PowerPiont ขั้นพื้นฐาน<br />
13. การสร้างสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
14. การสร้างสื่อมัลติมีเดียสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
15. การนำเสนอผลงานการสร้างโปรแกรมมัลติมีเดียสำหรับเด็กปฐมวัย <br />
<div align="center"><img hspace="3" src="http://www.pantown.com/data/87/content1/f2.gif" /></div><br />
<img align="left" hspace="3" src="http://www.pantown.com/data/87/content1/f3.gif" />การเรียนและการสอน ประกอบด้วย<br />
<br />
1. การบรรยายในชั่วโมงเรียนโดยใช้สื่อต่างๆ เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานที่สามารถค้นคว้าต่อได้<br />
2. ให้นักศึกษาจัดทำแฟ้มบันทึกการเรียนรู้และการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมนอกห้องเรียน หลังการเรียนในแต่ละหัวข้อวิชา โดยอาจารย์ผู้สอนจะติดตามอ่านแฟ้มบันทึกการเรียนรู้ เพื่อติดตามและทราบพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษา<br />
3. ให้นักศึกษาและทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาด้วยการทดลองปฏิบัติการในห้องคอมพิวเตอร์<br />
4. ให้นักศึกษาค้นคว้านอกห้องเรียน จากตำรา เอกสารประกอบการสอน และ web sites ต่างๆ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
อุปกรณ์สื่อการสอน ได้แก่<br />
<br />
1. เครื่อง LCD projector และ คอมพิวเตอร์<br />
2. ตำรา และ เอกสารประกอบการสอน<br />
3. web sites : <a href="http://tcu.npru.ac.th/" target="_blank">http://tcu.npru.ac.th/</a> และ <a href="http://pathomwai.pantown.com/" target="_blank">http://pathomwai.pantown.com/</a><br />
<br />
การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย <br />
<br />
1. บันทึกการเรียนรู้และการศึกษาค้นคว้านอกห้องเรียน 10 %<br />
2. การปฏิบัติงานระหว่างภาคเรียน 60 %<br />
3. สอบปลายภาค 30 %<br />
<br />
ระยะเวลาการศึกษา<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 1 <br />
- แนวคิด ทฤษฎี หลักการ และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
- การเลือก การจัดโปรแกรม การวัดและการประเมินผลการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 2 <br />
- บทบาทของครูและผู้ปกครองในการจัดกิจกรรม เพื่อการส่งเสริมประสบการณ์และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย<br />
- การจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นมัลติมีเดียสำหรับการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 3 <br />
- เทคนิคการสอนคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กปฐมวัย และการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
- การใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานกับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (Microsoft Windows)<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 4 <br />
- ระบบคอมพิวเตอร์และมัลติมีเดียสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
- การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 5 <br />
- การใช้โปรแกรมสำเร็จรูป Microsoft Office ขั้นพื้นฐาน<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 6 <br />
- การใช้โปรแกรมกราฟิก Adobe Photoshop ขั้นพื้นฐาน (1)<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 7 <br />
- การใช้โปรแกรมกราฟิก Adobe Photoshop (2)<br />
- ปฏิบัติการสร้างสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 8 <br />
- การสร้างสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับเด็กปฐมวัย (1)<br />
- ปฏิบัติการสร้างสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 9 <br />
- การสร้างสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับเด็กปฐมวัย (2)<br />
- ปฏิบัติการสร้างสื่อสิ่งพิมพ์สำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 10 <br />
- การใช้โปรแกรมบันทึกเสียง CoolEdit ขั้นพื้นฐาน<br />
- ปฏิบัติการบันทึกเสียงด้วยคอมพิวเตอร์<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 11 <br />
- การสร้างสื่อมัลติมีเดียสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
- การใช้โปรแกรมนำเสนอ Microsoft PowerPiont ขั้นพื้นฐาน (1)<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 12 <br />
- การใช้โปรแกรมนำเสนอ Microsoft PowerPiont ขั้นพื้นฐาน (2)<br />
- ปฏิบัติการสร้างสื่อมัลติมีเดียสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 13 <br />
- สอบปฏิบัติรอบแรก<br />
- หลักการสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 14 <br />
- สอบปฏิบัติรอบสอง<br />
- หลักการสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสำหรับเด็กปฐมวัย<br />
<br />
สัปดาห์ที่ 15 <br />
- การนำเสนอผลงานการสร้างโปรแกรมมัลติมีเดียสำหรับเด็ก<br />
- ส่งงานนำเสนอกลุ่มและส่งข้อสอบข้อเขียน<br />
<br />
หมายเหตุ<br />
- ไม่เกินสัปดาห์ที่ 16 ส่งงานนำเสนอเดี่ยวขึ้นเว็บส่วนตัว<br />
<br />
-----------------------------------------------------------------------<br />
เจ้าบ้าน : อ.อลงกรณ์ ศุภเอม<br />
ติดต่อ : <a href="mailto:alongkon@yahoo.com" target="_blank">alongkon@yahoo.com</a>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-59554894159765095762011-02-04T22:43:00.000-08:002011-02-04T22:43:20.750-08:00บำรุงสายตา...ช่วงตั้งครรภ์<h1 class="each-reader-title">บำรุงสายตา...ช่วงตั้งครรภ์ </h1><div class="article-detail partners"><!-- CSS = "article-detail partners" --></div><!-- end article-fuction--><div id="content_only"><strong>การ เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและความดันโลหิตในช่วงตั้งครรภ์ อาจทำให้ดวงตาเกิดอาการพร่ามัว รวมถึงการใช้สายตาในนการทำงานเป็นเวลานานจะทำให้สายตาอ่อนล้าได้ง่าย ดังนั้น ในช่วงตั้งครรภ์จึงควรหมั่นกินอาหารที่มีสารอาหาร ในการช่วยบำรุง สายตาค่ะ</strong><br />
<div style="text-align: center;"><strong><img height="274" src="http://btgsf1.fsanook.com/weblog/entry/185/926741/102771920.jpg" width="410" /></strong></div><span style="color: magenta;"><strong>วิตามินเอ :</strong></span><strong> มีลูทีนและซีเซนทีนช่วยบำรุงดวงตาให้ไม่ระคายเคืองง่ายและไม่แห้ง</strong> พบได้ทั้งในผลิตผลจากสัตว์ เช่น ตับ ไข่แดง นม น้ำมันสกัดจากตับปลา ส่วนผักผลไม้ที่มีวิตามินเอคือพืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด สีเหลือง เช่น ผักบุ้ง มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง บร็อคโคลี แครอท มะม่วงสุก เป็นต้น<br />
<span style="color: magenta;"><strong>วิตามินอี :</strong></span><strong> ช่วย ป้องกันอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลาย จอรับภาพภายในดวงตา</strong> ซึ่งมีมากในน้ำมันพืชข้าวซ้อมมือ ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ควรกินวันละ 1 ฝ่ามือเพื่อเสริมวิตามินอีให้แก่ร่างกาย ซึ่งคุณแม่อาจกินเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อก็ได้ แต่ไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไปเพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้<br />
<span style="color: magenta;"><strong>วิตามินซี :</strong></span> <strong>ลดความดันของน้ำภายในลูกตาและช่วยให้เส้นเลือดฝอยคอยส่งเลือดไปหล่อเลี้ยง ดวงตาให้แข็งแรง</strong> พบในผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี หอมแดง มะเขือม่วง ผักที่มีสีน้ำเงินหรือม่วง รวมถึงผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะ เบอร์รี่สีเข้ม องุ่นแดง แอปเปิ้ลแดง ลูกเกด จะมีสาร แอนโตไซยานินส์ ช่วยให้การมองเห็นตอนกลางคืนดีขึ้น<br />
<span style="color: magenta;"><strong>ธาตุสังกะสี :</strong></span><strong> ควรได้รับควบคู่กับวิตามินเอจะช่วยป้องกันอาการมองไม่เห็นในช่วงกลางคืนได้</strong> ดี เช่น ปลาทะเล ผักใบเขียว ข้าวซ้อมมือ เมล็ดฟักทองและเต้าหู้ เป็นต้น<br />
<div style="text-align: center;"><img height="274" src="http://btgsf1.fsanook.com/weblog/entry/185/926741/102777149.jpg" width="415" /></div><strong>กินปลา... บำรุงสายตา</strong><br />
<strong>ในช่วงตั้งครรภ์ ควรหมั่นกินปลาทะเลเป็นประจำเพราะอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งการกินปลาทะเลนึ่ง หรือลวกจะดีกว่า เพราะการทอดจะทำให้น้ำมันปลาซึมออกและสูญเสียคุณค่าทางอาหาร<br />
<br />
การได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยให้เรตินาในดวงตาสามารถรับภาพได้คมชัดขึ้น เสริมสร้างการมองเห็นทั้งแม่ และลูกตั้งแต่ตั้งครรภ์ และยังช่วยในการขับสารพิษตกค้างออกจากดวงตาได้อีกด้วย</strong><br />
</div><br />
<div id="photo-gallery"></div><ul class="sponsor-read"><li class="sponsor-img"><img alt="นิตยสาร Mother&Care" src="http://btgsf1.fsanook.com/weblog/entry/185/927180/mom.jpg" /> </li>
<li class="sponsor-info">ขอขอบคุณ : <strong>นิตยสาร Mother&Care</strong> ผู้สนับสนุนเนื้อหา </li>
</ul>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-74719916808253324672011-02-01T07:54:00.001-08:002011-02-01T07:54:43.125-08:00พัฒนาการของเด็ก<table class="contentpaneopen"><tbody>
<tr><td class="contentheading" width="100%">ของเด็กปฐมวัย </td><td align="right" class="buttonheading" width="100%"><a $included="null" href="http://www.phraepao.go.th/ppao/index.php?view=article&catid=42%3A2009-06-22-09-09-49&id=142%3A2009-06-22-10-04-09&format=pdf&option=com_content&Itemid=56" onclick="window.open(this.href,'win2','status=no,toolbar=no,scrollbars=yes,titlebar=no,menubar=no,resizable=yes,width=640,height=480,directories=no,location=no'); return false;" rel="nofollow" title="PDF"><img alt="PDF" src="http://www.phraepao.go.th/ppao/images/blank.png" style="filter: progid:DXImageTransform.Microsoft.AlphaImageLoader(src='http://www.phraepao.go.th/ppao/templates/gk_themoment/images/pdf_button.png',sizingMethod='scale'); width: 16px;" /></a> </td><td align="right" class="buttonheading" width="100%"><a $included="null" href="http://www.phraepao.go.th/ppao/index.php?view=article&catid=42%3A2009-06-22-09-09-49&id=142%3A2009-06-22-10-04-09&tmpl=component&print=1&layout=default&page=&option=com_content&Itemid=56" onclick="window.open(this.href,'win2','status=no,toolbar=no,scrollbars=yes,titlebar=no,menubar=no,resizable=yes,width=640,height=480,directories=no,location=no'); return false;" rel="nofollow" title="พิมพ์"><img alt="พิมพ์" src="http://www.phraepao.go.th/ppao/images/blank.png" style="filter: progid:DXImageTransform.Microsoft.AlphaImageLoader(src='http://www.phraepao.go.th/ppao/templates/gk_themoment/images/printButton.png',sizingMethod='scale'); width: 16px;" /></a> </td><td align="right" class="buttonheading" width="100%"><a $included="null" href="http://www.phraepao.go.th/ppao/index.php?option=com_mailto&tmpl=component&link=aHR0cDovL3d3dy5waHJhZXBhby5nby50aC9wcGFvL2luZGV4LnBocD9vcHRpb249Y29tX2NvbnRlbnQmdmlldz1hcnRpY2xlJmlkPTE0MjoyMDA5LTA2LTIyLTEwLTA0LTA5JmNhdGlkPTQyOjIwMDktMDYtMjItMDktMDktNDkmSXRlbWlkPTU2" onclick="window.open(this.href,'win2','width=400,height=350,menubar=yes,resizable=yes'); return false;" title="อีเมล"><img alt="อีเมล" src="http://www.phraepao.go.th/ppao/images/blank.png" style="filter: progid:DXImageTransform.Microsoft.AlphaImageLoader(src='http://www.phraepao.go.th/ppao/templates/gk_themoment/images/emailButton.png',sizingMethod='scale'); width: 16px;" /></a> </td></tr>
</tbody></table><table class="contentpaneopen"><tbody>
<tr><td valign="top"><span class="small">เขียนโดย Administrator </span> </td></tr>
<tr><td class="createdate" valign="top">วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2009 เวลา 10:00 น. </td></tr>
<tr><td valign="top"><span style="color: maroon;"><strong>พัฒนาการของเด็กปฐมวัย </strong></span><br />
เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความสำคัญการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กให้บรรลุตาม จุดมุ่งหมายจึงเป็นสิ่งที่บุคลากรผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยต้องให้ความสนใจ และเข้าใจพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กวัยนี้ พัฒนาการของเด็กปฐมวัยมีดังนี้<br />
<strong><span style="color: #333399;">1. พัฒนาการด้านร่างกาย (Physical Development) </span></strong>เด็กปฐมวัยจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 3–6 ขวบ เด็กในวัยนี้มีอัตราพัฒนาการด้านร่างกายช้ากว่าตอนอยู่ในวัยทารก และเนื่องจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีอัตราพัฒนาการแตกต่างกัน จึงทำให้เด็กปฐมวัยมีการเปลี่ยนแปลงทางสัดส่วนอย่างเห็นได้ชัด โดยเด็กวัยนี้จะมีความก้าวหน้าเกี่ยวกับพัฒนาการการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ความงุ่นง่านในวัยทารกจะหายไป การเติบโตทางสัดส่วนจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ตามลำดับ<br />
<span style="color: #333399;"><strong>2. พัฒนาการด้านอารมณ์-จิตใจ และสังคม (Emotional and Social Development)</strong></span> พัฒนาการด้านอารมณ์ และจิตใจเป็นความสามารถในการรู้สึกและแสดงความรู้สึกรวมทั้งความสามารถในการแยกแยะ ความลึกซึ้ง และควบคุมการแสดงออกของอารมณ์อย่างเหมาะสม เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างความรู้สึกที่ดีและนับถือต่อตนเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านสังคมด้วย บางครั้งจึงมีการรวมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ กับทางด้านสังคมเป็นกลุ่มเดียวกัน<br />
<span style="color: #333399;"><strong>3. พัฒนาการด้านสติปัญญา (Intellectial Development)</strong></span> พัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นพัฒนาการที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากเด็กปฐมวัยจะอยู่ในขั้นความคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรม การคิดเชิงเหตุผล คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้ที่ผ่านการลงมือกระทำที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เช่น เรียนรู้ธรรมชาติวัตถุ จากการทำ กิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมสำรวจ ปฏิบัติทดลอง การเรียนรู้ และแสดงความรู้สึกผ่านสื่อ วัสดุ ของเล่นและผลงานต่าง ๆ ซึ่งการอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของและความสัมพันธ์ของวิ่งต่าง ๆ โดยเด็กได้พัฒนาทักษะการสังเกต การจำแนก เปรียบเทียบ ซึ่งเป็นกระบวนการกระตุ้นให้เด็กใช้กระบวนการคิดมากว่าเน้นความรู้ความจำเป็น<br />
<span style="color: maroon;">ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการเด็ก มีดังนี้ </span><br />
<span style="color: #333399;"><strong>1. ปัจจัยด้านธรรมชาติของตัวบุคคล (organismic factor)</strong></span> เป็นผลโดยตรงของพันธุกรรมที่กำหนดศักยภาพ กำหนดเพศ และลักษณะแตกต่างจำเพาะบุคคล รวมถึงขั้นตอนการบรรลุวุฒิภาวะและระดับความอ่อนแอ เมื่อบุคคลนั้นถูกกระทบโดยสิ่งแวดล้อมอีกด้วย<br />
<span style="color: #333399;"><strong>2. ปัจจัยด้านภาวะแวดล้อมที่หล่อเลี้ยง (environmental factor)</strong></span> แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ<br />
<span style="color: blue;">2.1 ชีวกายภาพ ได้แก่ </span>อาหาร ภูมิประเทศ สภาวะอากาศ สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย การเจ็บป่วย การได้รับรังสี สารเคมี และมลภาวะ เป็นต้น<br />
<span style="color: blue;"> 2.2 จิตสังคม วัฒนธรรม </span>ได้แก่ การเลี้ยงดู โอกาสรับการศึกษา ลักษณะครอบครัวบิดามารดาและผู้เลี้ยงดู เศรษฐกิจ ฐานะ สภาพสังคม วัฒนธรรม การเมือง ตลอดจนระบบสาธารณูปโภค สื่อมวลชน บริการทางสังคม การศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการที่มีอยู่ในสังคมอีกทั้ง ระยะเวลา ที่ปัจจัยต่าง ๆ กระทบต่อเด็กเป็นสิ่งสำคัญ</td></tr>
</tbody></table><span class="article_separator"> </span>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-49831441759989537552011-01-30T00:44:00.001-08:002011-01-30T00:44:48.313-08:00ความสำคัญของการอบรมและเลี้ยงดูเด็ก<h3><span class="mw-headline">ความสำคัญของการอบรมและเลี้ยงดูเด็ก</span></h3>การอบรมและเลี้ยงดูแก่เด็กปฐมวัยมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการการเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน จากบิดา มารดา คนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพัฒนาการที่เป็นรากฐานของบุคลิกภาพ อุปนิสัย และการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและจิตใจ สมอง สติปัญญา ความสามารถ เพราะเด็กในช่วงตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์แม่จนถึง 4 ปี ระบบประสาทและสมองจะเจริญเติบโตในอัตราสูงสุด (ประมาณ 80% ของผู้ใหญ่) การอบรมปลูกฝังสร้างเสริมพัฒนาการทุกด้านให้แก่เด็กปฐมวัยได้เจริญเติบโตเต็มศักยภาพในช่วงอายุนี้ จะเป็นรากฐานที่ดีจะให้เขาเติบโตเป็นเยาวชนและพลเมืองที่ดี เฉลียวฉลาด คิดเป็น ทำเป็น และมีความสุข เด็กปฐมวัยจะมีชีวิตรอดและเติบโตได้ก็ด้วยการพึ่งพาพ่อแม่ และผู้ใหญ่ที่ช่วยเลี้ยงดู ปกป้องจากอันตราย หากผู้ใหญ่ให้ความรักเอาใจใส่ใกล้ชิด อบรมเลี้ยงดูโดยเข้าใจเด็ก พร้อมจะตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่เปลี่ยนไปตามวัยได้อย่างเหมาะสมให้สมดุลกันทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญา และสังคมแล้ว เด็กจะเติบโตแข็งแรงแจ่มใส มีความมั่นคงทางใจ รู้ภาษา ใฝ่รู้ และใฝ่ดี พร้อมที่จะพัฒนาตนเองในขั้นต่อไป ให้เป็นคนเก่งและคนดีอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุขและมีประโยชน์ <br />
<a href="" name=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B8.A3.E0.B8.B4.E0.B8.8D.E0.B9.80.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.9A.E0.B9.82.E0.B8.95.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B8.9E.E0.B8.B1.E0.B8.92.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3"></a><h3><span class="mw-headline">ความเจริญเติบโตและพัฒนาการ</span></h3>ความเจริญเติบโต (Growth) หมายถึง การเปลี่ยนแปลง ขนาดของร่างกายและอวัยวะ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มจำนวนและขนาดของเซลล์และส่วนหล่อเลี้ยง (Matrix) ทำให้รูปร่างเปลี่ยน เช่นมีขนาดใหญ่ขึ้น สูงขึ้น สัดส่วนเปลี่ยนแปลง การเพิ่มจำนวนเช่นฟัน และการเปลี่ยนลักษณะเช่นการเข้าสู่วัยหนุ่มสาว <br />
พัฒนาการ (Development) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการทำหน้าที่ (Function) และวุฒิภาวะ (Maturation) ของอวัยวะระบบต่างๆ รวมทั้งตัวบุคคล ให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำสิ่งที่ยากสลับซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มทักษะใหม่ๆ และความสามารถในการปรับตัวต่อสภาวะแวดล้อมหรือภาวะใหม่ในบริบทของครอบครัวและสังคม <br />
<a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B8.A3.E0.B8.B4.E0.B8.8D.E0.B9.80.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.9A.E0.B9.82.E0.B8.95.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B9.87.E0.B8.81.E0.B8.95.E0.B8.B1.E0.B9.89.E0.B8.87.E0.B9.81.E0.B8.95.E0.B9.88.E0.B9.81.E0.B8.A3.E0.B8.81.E0.B9.80.E0.B8.81.E0.B8.B4.E0.B8.94-6_.E0.B8.9B.E0.B8.B5"></a><h3><span class="mw-headline">การเจริญเติบโตของเด็กตั้งแต่แรกเกิด-6 ปี</span></h3>เด็กในวัยทารกและวัยเด็กจะมีพัฒนาการด้านต่างๆ เช่น พัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม ตามขั้นตอนที่เป็นแบบแผนและมีทิศทางเฉพาะ ซึ่งการเรียนรู้พัฒนาการในวัยทารกและวัยเด็ก จะช่วยให้เราสามารถเสริมสร้างพัฒนาการของ เด็กได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเราจึงควรศึกษาถึงพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัย เพื่อ ให้เข้าใจถึงการเจริญเติบโตและสามารถทำกิจกรรม เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ ของ เด็กในวัยต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ <br />
<a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:1uuuu.jpg" title="image:1uuuu.jpg"><img alt="image:1uuuu.jpg" border="0" height="316" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/4/4d/1uuuu.jpg" width="584" /></a> <br />
รูปที่ 1 เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตและพัฒนาการ <br />
พัฒนาการไม่ได้หยุดนิ่งเพียงแค่ช่วงใดช่วงหนึ่งของการเจริญเติบโตทางร่างกายเท่านั้น แต่พัฒนาการจะยังคงมีต่อไปจนตลอดชีวิตของมนุษย์ <br />
<a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:2.jpg" title="Image:2.jpg"><img alt="Image:2.jpg" border="0" height="328" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/1/15/2.jpg" width="655" /></a> <br />
รูปที่ 2 การเปลี่ยนแปลงทางด้านสัดส่วนของร่างกายตามวัย <br />
<a href="" name=".E0.B8.AB.E0.B8.A5.E0.B8.B1.E0.B8.81.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.88.E0.B8.B1.E0.B8.94.E0.B8.AD.E0.B8.B2.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B9.83.E0.B8.AB.E0.B9.89.E0.B8.AD.E0.B8.B2.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.81.E0.B8.81.E0.B9.88.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B9.87.E0.B8.81.E0.B8.9B.E0.B8.90.E0.B8.A1.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.A2"></a><h2><span class="mw-headline"><b>หลักการจัดอาหารและให้อาหารแก่เด็กปฐมวัย </b></span></h2><a href="" name=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B8.AA.E0.B8.B3.E0.B8.84.E0.B8.B1.E0.B8.8D.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B8.B5.E0.B9.89.E0.B8.A2.E0.B8.87.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81.E0.B8.94.E0.B9.89.E0.B8.A7.E0.B8.A2.E0.B8.99.E0.B8.A1.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88"></a><h3><span class="mw-headline">ความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่</span></h3>น้ำนมแม่สามารถใช้เลี้ยงลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุขวบปีที่ 2 เพราะประกอบด้วย น้ำที่เพียงพอสำหรับทารก โปรตีนและไขมันในปริมาณที่เหมาะสม มีน้ำตาลแลกโตสที่เด็กทารกต้องการ มีวิตามินและธาตุเหล็กเพียงพอ ปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เหมาะสม มีน้ำย่อยพิเศษ (Lipase) ช่วยย่อยไขมัน น้ำนมแม่สะอาดและปลอดภัยจากเชื้อแบคทีเรีย มี Anti-infection ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ ทารกที่กินนมแม่จะเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินหายใจ และการอักเสบของหูชั้นกลางน้อยกว่าเด็กที่กินนมขวด นอกจากนี้เมื่อเป็นโรคติดเชื้อก็จะหายเร็วกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ เด็กที่ได้ดูดนมแม่จะได้รับความอบอุ่นทางด้านจิตใจ อันเป็นรากฐานต่อสุขภาพจิตและการปรับตัวเข้ากับสังคม เมื่อฟันบนขึ้นจะทำให้ฟันไม่ซ้อนกันและไม่กร่อน ท้องไม่ผูกขับถ่ายง่าย นอกจากนี้แล้วการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อแม่คือ ทำให้มดลูกหดตัวเข้าอู่เร็ว ขับน้ำคาวปลาได้ดีเป็นการป้องกันการตกเลือดหลังคลอด ลดความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง รูปร่างของแม่กลับคืนสภาพเดิมเร็ว ช่วยการคุมกำเนิดและพบว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ได้ กระตุ้นให้เกิดความเป็นแม่ เกิดความรักความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูก ส่งเสริมความรัก ความผูกพัน และความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ช่วยประหยัดรายจ่ายของครอบครัว เกิดประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติในการลดปัญหาทางสังคม ลดจำนวนเด็กขาดความอบอุ่นจนต้องพึ่งพายาเสพติด ก่ออาชญากรรมหรือปัญหาต่าง ๆ ทำให้ประเทศชาติมีประชากรที่มีคุณภาพ <br />
<a href="" name=".E0.B8.AB.E0.B8.A5.E0.B8.B1.E0.B8.81.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.83.E0.B8.AB.E0.B9.89.E0.B8.AD.E0.B8.B2.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B9.87.E0.B8.81"></a><h3><span class="mw-headline"><a class="external text" href="http://www.bangkokhealth.com/index.php/2009-01-19-02-47-42/1652-2009-01-22-10-00-54" rel="nofollow" title="http://www.bangkokhealth.com/index.php/2009-01-19-02-47-42/1652-2009-01-22-10-00-54">หลักการให้อาหารเด็ก</a></span></h3>ควรคำนึงถึง ประโยชน์ ความเพียงพอ มีสารอาหารครบถ้วน ความสะอาด รสชาติอ่อนๆ หาได้ง่าย การให้อาหารเด็กปฐมวัยควรให้เด็กได้ฝึกทักษะการช่วยเหลือตัวเองในการหยิบจับอาหารใส่ปาก ไม่ควรบังคับให้เด็กกิน ควรชี้แนะเชิญชวนให้เด็กสนใจในอาหารต่างๆ จัดอาหารให้หลากหลายปรับแต่งรูปลักษณ์ของอาหารให้เป็นที่สนใจของเด็ก หมั่นสังเกตพฤติกรรม การแสดงออกของเด็กต่ออาหารที่กิน และควรปลูกฝังสุขนิสัยบริโภคนิสัยที่ดีในการบริโภคอาหารตั้งแต่ปฐมวัย <br />
<a href="" name=".E0.B8.AA.E0.B8.B8.E0.B8.82.E0.B8.A0.E0.B8.B2.E0.B8.9E.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B9.82.E0.B8.A0.E0.B8.8A.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3"></a><h2><span class="mw-headline"><b>สุขภาพและโภชนาการ</b> </span></h2><a href="" name=".E0.B9.82.E0.B8.A0.E0.B8.8A.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.94.E0.B8.B5.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B8.AD.E0.B8.A2.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B9.84.E0.B8.A3"></a><h3><span class="mw-headline">โภชนาการที่ดีเป็นอย่างไร</span></h3>เป็นธรรมดาที่พ่อแม่มักให้ลูกกินอาหารที่พ่อแม่เคยกินสมัยเป็นเด็ก วัฒนธรรมการกินก็เหมือนด้านอื่นๆ เป็นตัวเชื่อมครอบครัวไว้ด้วยกันทั้งอดีตและปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการช่วยให้เราเรียนรู้ว่าอาหารอะไรดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอาหารบางอย่างที่ผู้ใหญ่กินและลูกกิน ปัญหาที่พบคือ ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากติดตามข่าวคราว เราจะเห็นความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน บางครั้งทำให้เกิดความสับสนว่าอะไรควรกิน อะไรไม่ควร ยิ่งไปกว่านั้นคือ คำแนะนำต่างๆส่วนใหญ่เป็นคำแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงว่าดีที่สุดหรือปลอดภัยเพียงพอสำหรับเด็กซึ่งกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความสับสนที่เกิดขึ้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าอาหารเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง เนยแข็ง อาหารทอด และอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง ล้วนแต่เป็นอาหารที่มีประโยชน์น้อย ขณะที่อาหารประเภทผัก ผลไม้ ธัญญาหาร ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นอาหารจรรโลงสุขภาพ ช่วยต้านโรคภัยไข้เจ็บ ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำอาหารไขมันต่ำ เช่น นมพร่องมันเนย และกินเนื้อสัตว์จำนวนน้อยๆ ขณะที่บางคนแนะนำให้งดกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมทุกชนิด ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ ความท้าทายคือ ทำอย่างไรถึงจะประยุกต์รูปแบบการกินอาหารสุขภาพให้เข้ากับรูปแบบการกินของครอบครัว บางทีอาจทำได้ง่าย แค่ลดการกินของทอด เนื้อแดง เนื้อติดมัน และนมไขมันสูง ก็ทำให้มีโภชนาการที่ดีได้โดยไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างใด คำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยให้ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวสุขภาพได้โดยไม่ยากเกินไป <br />
<br />
<a href="" name=".E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B8.A5.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.A2.E0.B8.99.E0.B9.81.E0.B8.9B.E0.B8.A5.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B8.A4.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.81.E0.B8.B4.E0.B8.99"></a><h3><span class="mw-headline">เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน</span></h3><ul><li>เป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยน ที่บอกว่าอาหารไขมันและพลังงานสูงที่ชาวอเมริกันตอนเหนือนิยมกินกันนั้น ก่อให้เกิดโรคมากมายในผู้ใหญ่ ไม่ว่าโรคอ้วน โรคเส้นเลือดหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดสมองแตกหรือตีบ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมะเร็งบางชนิด และที่มากกว่านั้นคือ โรคเหล่านี้เริ่มก่อร่างหรือตั้งเค้าได้ตั้งแต่วัยเด็ก อย่างที่มีศึกษาพบว่า เด็กวัย 3 ขวบชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยมีไขมันสะสมในเส้นเลือดซึ่งเป็นขั้นแรกที่นำไปสู่การเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันและเส้นเลือดสมองแตกและตีบ เด็กวัย 12 ปีจำนวนร้อยละ 70 พบว่าเริ่มมีความผิดปกติภายในเส้นเลือด และเกือบทุกรายของคนอายุ 21 ปีมีความผิดปกติภายในเส้นเลือด ซึ่งนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูงและปัญหาโรคทางกายและจิตใจ คือ โรคเบาหวาน โรคข้อเสื่อม และความไม่มั่นใจในการเข้าสังคมด้วย </li>
</ul><ul><li>ดังนั้นหากไม่ต้องการให้โรคร้ายตั้งเค้าตั้งแต่เด็ก การสร้างนิสัยการกินที่ดีตั้งแต่วัยเด็กจึงไม่ควรละเลย พ่อแม่ที่คอยนำเสนออาหารมีประโยชน์ (ผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่วเมล็ดแห้ง) ให้ลูกอย่างรื่นเริง ไม่บังคับ และสม่ำเสมอ จะช่วยให้ลูกชอบและยอมรับอาหารเหล่านี้ได้ง่าย โดยพ่อแม่ต้องมีของมีประโยชน์เหล่านี้บนโต๊ะอาหารเสมอและพร้อมจะกินเป็นตัวอย่าง </li>
</ul><a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:3.jpg" title="Image:3.jpg"><img alt="Image:3.jpg" border="0" height="179" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/7/79/3.jpg" width="240" /></a> <br />
รูปที่ 3 อาหารดีมีประโยชน์ <br />
<a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:4.jpg" title="Image:4.jpg"><img alt="Image:4.jpg" border="0" height="179" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/d/d0/4.jpg" width="213" /></a> <br />
รูปที่ 4 อาหารที่เด็กไม่ควรรับประทาน <br />
การจำกัดเวลาการดูทีวีของเด็กช่วยลดความเสี่ยงกับอาหารไร้คุณภาพ เพราะว่าเด็กมักไม่สนใจว่ากินอาหารไม่ดีแล้วจะเป็นอย่างไร แต่สนใจกินหากเห็นโฆษณาจากทีวี ซึ่งมักเป็นอาหารที่ไม่ดี มีไขมันสูง หวานและเค็มมากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างการดูทีวีกับปัญหาโรคอ้วนเป็นเรื่องที่พิสูจน์แล้ว เด็กยิ่งดูทีวีมากยิ่งมีความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน <br />
<br />
<ul><li><b>โปรตีน</b> เป็นองค์ประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อ หัวใจ สมอง และไต กระดูกในร่างกายก็ใช้โปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างหลัก เด็กจึงควรได้โปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในแต่ละวัน โปรตีนยังเป็นแหล่งของพลังงานในยามที่ร่างกายมีพลังงานหลักไม่เพียงพอ เราหาโปรตีนได้จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์นม แต่สิ่งเหล่านี้มักมีไขมันและคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง ขณะที่ผัก ถั่วเมล็ดแห้งและธัญพืช ก็ให้โปรตีนเช่นกัน แต่ไม่มีไขมันที่อันตรายดังกล่าว </li>
</ul><a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:5.jpg" title="Image:5.jpg"><img alt="Image:5.jpg" border="0" height="171" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/0/03/5.jpg" width="147" /></a> <br />
รูปที่ 5 อาหารจำพวกโปรตีน <br />
<ul><li><b>คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเดี่ยวและเชิงซ้อน</b> ได้แก่ แป้งและน้ำตาล ซึ่งล้วนให้พลังงานแก่ร่างกายทั้งสิ้น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนประกอบด้วยเส้นใย (ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง) ต้องผ่านการย่อยสลายก่อนที่จะดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานซึ่งถือเป็นแหล่งพลังงานที่มั่นคง ส่วนคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเดี่ยว เช่น น้ำตาลและน้ำผึ้ง เป็นแหล่งให้พลังงานที่รวดเร็ว แต่หมดได้รวดเร็ว ทำให้หิวเร็ว จึงต้องกินเพิ่มอยู่ตลอดเวลา เป็นสาเหตุของโรคอ้วน อาหารรสหวาน เช่น ลุกกวาด โดนัท ขนมเค้ก น้ำอัดลม ให้พลังงาน แต่ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ แล้วยังทำให้ฟันผุ </li>
</ul><ul><li><b>ไขมัน</b> ไขมันและน้ำมันให้พลังงานและสร้างเซลล์ในร่างกาย พลังงานที่ได้จากไขมันสูงกว่าจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ชนิดของไขมันแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ไขมันอิ่มตัว พบมากในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม และไขมันไม่อิ่มตัว พบในพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำมันมะกอก เมล็ดดอกทานตะวัน งา ส่วนมาร์การีนเป็นไขมันคุณภาพต่ำ ทำมาจากไขมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีเติมไฮโดรเจน ทำให้แข็งตัว พบมากในอาหารอบกรอบ ทั้งไขมันจากสัตว์และมาร์การีนเป็นสาเหตุของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก </li>
</ul><a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:6.jpg" title="Image:6.jpg"><img alt="Image:6.jpg" border="0" height="168" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/1/18/6.jpg" width="183" /></a> <br />
รูปที่ 6 อาหารประเภทไขมัน <br />
กรดไขมันหลายชนิดร่างกายผลิตเองได้ แต่มีบางชนิดผลิตไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เช่น ไลโนเลอิก (linoleic) และไลโนเลนิก (linolenic) ซึ่งพบได้ในถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดพืช และผักใบเขียวบางชนิด ในน้ำนมแม่ มีสารจำเป็นเหล่านี้ครบถ้วน แต่ในนมวัวมีน้อยมาก <br />
<a class="external text" href="http://km.sadet.ac.th/blog/beverage/16" rel="nofollow" title="http://km.sadet.ac.th/blog/beverage/16">*<b>เส้นใยอาหาร</b></a> ผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี ถั่วฝัก มีสารที่ร่างกายย่อยและดูดซึมไม่ได้ แต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เรียกว่าเส้นใยอาหาร ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดละลายน้ำได้ พบในข้าวโอ๊ตและเพกติน และชนิดละลายน้ำไม่ได้ พบในผัก เช่น คะน้า กะหล่ำปลี ขึ้นฉ่าย <br />
<a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:7.jpg" title="Image:7.jpg"><img alt="Image:7.jpg" border="0" height="161" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/f/fe/7.jpg" width="253" /></a> <br />
รูปที่ 7 อาหารที่มีเส้นใย <br />
เส้นใยอาหารทำหน้าที่ช่วยให้ลำไส้บีบตัวได้ดี คนที่กินเส้นใยอาหารน้อย เช่น ชอบกินแต่เนื้อสัตว์ นม และไข่ อาจมีปัญหาท้องผูก ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้อาจเป็นเพราะมีการตกค้างของอาหารเก่าๆอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไป นอกจากนี้เส้นใยอาหารยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลเดี่ยว หรือน้ำตาลและข้าวที่ผ่านการขัดสีมีเส้นใยอาหารน้อยมาก พลังงานค่าพลังงานที่ได้จากอาหารมีหน่วยวัดเป็นแคลอรี น้ำ เกลือแร่ และวิตามินไม่ให้พลังงาน ไขมันให้พลังงานสูงเป็นสองเท่าของโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต อาหารประเภทเนย เนยแข็ง มาร์การีน น้ำมันพืช ครีม และน้ำสลัด ล้วนแต่ให้พลังงานสูงมาก ส่วนเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ให้พลังงานสูงจากไขมันที่แทรกอยู่ น้ำตาล น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม น้ำอัดลม และน้ำผลไม้ ล้วนแต่ให้พลังงานสูงเช่นกัน ผักส่วนใหญ่ให้พลังงานต่ำ (ยกเว้นบางอย่าง เช่น อะโวคาโด เพราะมีไขมันสูง) เนื่องจากส่วนประกอบเป็นน้ำ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน และเส้นใยอาหาร ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีจะมีเส้นใยอาหารมาก ทำให้รู้สึกอิ่มได้โดยให้พลังงานไม่มาก อาหารประเภทถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เกาลัด อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ให้พลังงานสูงเพราะมีไขมันมาก คนจำนวนมากคิดว่าแคลอรีเป็นสิ่งเลวร้าย ที่จริงแล้วหากไม่มีพลังงานชีวิตจะดำรงอยู่ไม่ได้ แคลอรีมากเกินไปต่างหากที่ไม่ดี *<b>น้ำ</b> น้ำไม่ให้พลังงานและวิตามิน แต่น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 60-70 ในร่างกายเด็ก น้ำที่อยู่ในนมแม่และนมขวดมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของทารก ส่วนในวัยหัดเดินจำเป็นต้องดื่มน้ำเพิ่มขึ้น เพราะมีการสูญเสียน้ำทางเหงื่อมากขึ้นจากการเคลื่อนไหวและกิจกรรมต่างๆ <br />
<a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:8.jpg" title="Image:8.jpg"><img alt="Image:8.jpg" border="0" height="137" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/8/8c/8.jpg" width="137" /></a> <br />
รูปที่ 8 น้ำ <br />
<ul><li><b>เกลือแร่ </b>เกลือแร่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย ได้แก่ แคลเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส เกลือแร่ได้จากอาหาร และสูญเสียไปทางผิวหนังและเยื่อบุลำไส้ที่หลุดลอก หรือออกทางปัสสาวะ </li>
</ul>อาหารธรรมชาติ เช่น ข้าวที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี จะมีเกลือแร่มากกว่าที่ผ่านการขัดสี ผักที่สุกแล้วไม่สูญเสียเกลือแร่ แต่ลดปริมาณวิตามินลง อาหารเกือบทุกอย่างมีฟอสฟอรัสและแมกนีเซียมมากมาย จึงไม่ค่อยมีปัญหาร่างกายได้รับไม่เพียงพอ <br />
<ul><li><b>แคลเซียม</b> กระดูกและฟันประกอบด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส นักโภชนาการแนะนำว่า เด็กอายุ 1-3 ขวบต้องการแคลเซียม 500 มิลลิกรัมต่อวัน อายุ 4-8 ขวบ ต้องการ 800 มิลลิกรัมต่อวัน อายุ 9-18 ปีต้องการ 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน วิธีที่สะดวกในการได้รับแคลเซียม คือ การกินนมและผลิตภัณฑ์จากนม ทำให้มีการรณรงค์ให้ดื่มนมกันมากขึ้น </li>
</ul>กระทั่งไม่นานมานี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเริ่มสงสัยว่า จริงๆแล้วเราต้องการแคลเซียมเท่าใดแน่ เคยมีการศึกษาเด็กหญิงอายุ 12-20 ปี พบว่าการกินแคลเซียมมากกว่าวันละ 500 มิลลิกรัมไม่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก แต่สิ่งที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นกระดูกคือการออกกำลังกาย เด็กที่ออกกำลังกายจะมีกระดูกที่แข็งแรงกว่า นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นๆพบว่า แคลเซียมจากผลิตภัณฑ์นมจะถูกขับออกทางปัสสาวะมากกว่าแคลเซียมที่ได้จากอาหารแหล่งอื่นที่ไม่ใช่นม อาหารแหล่งอื่นที่มีแคลเซียมสูงได้แก่ผักใบเขียว เช่น คะน้า บรอกโคลี ถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง งา อาหารเสริมแคลเซียม เช่น น้ำผลไม้เสริมแคลเซียม ซีเรียลเสริมแคลเซียม หรือแคลเซียมเม็ด เด็กที่ไม่ได้กินนมวัวควรได้รับวิตามินดีเสริมเพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซึมแคลเซียมเข้าร่างกาย เช่น การรับแสงแดด หรือการกินวิตามินเสริม <br />
<ul><li><b>ธาตุเหล็ก </b>เหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของเฮโมโกลบิน ซึ่งอยู่ในเม็ดเลือดแดงทำหน้าที่นำออกซิเจนไปให้เซลล์ต่างๆของร่างกาย เหล็กยังช่วยพัฒนาการของสมอง เด็กที่ขาดธาตุเหล็กแม้ไม่รุนแรง ส่งผลต่อการเรียนรู้ นมแม่มีเหล็กที่ดูดซึมไปใช้ได้ง่าย และมีปริมาณเพียงพอสำหรับทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน ส่วนนมวัวมีธาตุเหล็กน้อย จึงต้องเสริมให้เพียงพอกับความต้องการของทารก รวมถึงมีการเติมสารอื่นๆที่ทารกต้องการ กลายเป็นนมผงสำหรับเลี้ยงทารก ห้ามนำนมวัวมาให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบกิน เนื้อสัตว์ประเภทหมูและวัว ซีเรียลเสริมธาตุเหล็ก ผักใบสีเขียว มีธาตุเหล็กเช่นกัน </li>
</ul><ul><li><b>สังกะสี</b> เป็นแร่ธาตุสำคัญที่อยู่ในเอนไซม์หลายชนิดในร่างกาย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตของเซลล์ หากขาดสังกะสีจะส่งผลต่อเซลล์ร่างกายที่แบ่งตัวเร็วๆ เช่น เซลล์เยื่อบุลำไส้ เซลล์ผิวหนัง ระบบภูมิต้านทานโรค นมแม่มีปริมาณสังกะสีเพียงพอและดูดซึมได้ง่าย อาหารที่มีสังกะสีสูงได้แก่เนื้อสัตว์สีแดง เช่น หมูและวัว ปลา เนยแข้ง ข้าวไม่ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้งและถั่วเปลือกแข้ง สังกะสีที่ได้จากพืชดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อย ดังนั้นเด็กที่กินมังสวิรัติจำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริมที่มีสังกะสี </li>
</ul><ul><li><b>ไอโอดีน</b> เป็นแร่ธาตุสำคัญสำหรับต่อมไทรอยด์เพื่อสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ เด็กที่ขาดไอโอดีนจะมีพัฒนาการสมองช้าผิดปกติ เกลือเสริมไอโอดีนช่วยป้องกันปัญหาได้ </li>
</ul><ul><li><b>โซเดียม</b> พบมากในเกลือปรุงอาหาร เป็นสารประกอบสำคัญในเลือด ไตช่วยรักษาสมดุลโซเดียม เช่น หากกินเกลือมากเกินไป ร่างกายจะกำจัดส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ในกระบวนการดังกล่าวทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมออกไปด้วย จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนกินเค็มมากๆจะมีปัญหากระดูกอ่อนแอเมื่ออายุมากขึ้น และทำให้มีปัญหาความดันโลหิตสูงในบางคน </li>
</ul><ul><li><b>วิตามิน</b> ร่างกายต้องการวิตามินจำนวนเล็กน้อย พบได้ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ผัก ข้าวไม่ขัดสี ผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน งา ถึงแม้ไม่กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เราสามารถกินวิตามินได้ครบทุกตัวจากอาหารมังสวิรัติ ยกเว้นวิตามินตัวเดียวที่ต้องเสริมคือ วิตามินบี 12 โดยการกินซีเรียลหรืออาหารเสริมวิตามินบี 12 หรือกินวิตามินเสริมก็ได้ </li>
<li><b>วิตามินเอ </b>ร่างกายสร้างวิตามินเอจากเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากในผักและผลไม้สีส้มหรือเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอ อวัยวะที่ต้องอาศัยวิตามินเอได้แก่ ปอด ลำไส้ ทางเดินปัสสาวะ และที่สำคัญมาคือ ตา ผู้มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอคือผู้เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ทำให้ดูดซึมวิตามินเอไม่ได้ หรือมีภาวะขาดสารอาหาร การกินวิตามินเอชนิดเสริมหรือสังเคราะห์มากเกินไปเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หากได้รับจากผักหรือผลไม้ก็ไม่เป็นอันตราย </li>
</ul><ul><li><b>วิตามินบีรวม </b>รู้จักกันดี ได้แก่ บี 1 บี 2 บี 3 และ บี 6 ทั้งสี่ชนิดเป็นส่วนประกอบในเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย โดยสามชนิดแรกพบในอาหารประเภทไข่ นม ตับ เนื้อหมู เนื้อวัว ข้าวกล้อง ข้าวไม่ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วลันเตา ถั่วลิสง อาหารเสริมวิตามิน เช่น ซีเรียล ขนมปัง พาสต้า โอกาสขาดวิตามินตัวนี้เกิดขึ้นน้อยมาก ยกเว้น กรณีกินแต่แป้งขัดสีหรือน้ำตาล โดยไม่กินอาหารอื่นเลย วิตามินบี 6 พบในกล้วย กะหล่ำปลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวไม่ขัดสี แคนตาลูป </li>
</ul><ul><li><b>วิตามินบี 12</b> พบได้ในเนื้อสัตว์และนมเท่านั้น ไม่พบในผักและผลไม้ เด็กที่กินมังสวิรัติควรได้รับวิตามินตัวนี้เสริม วิตามินบี 9 หรือโฟเลต เป็นตัวสำคัญในการสร้างดีเอ็นเอและเม้ดเลือดแดง พบได้ในปวยเล้ง บรอกโคลี ผักกาดเขียว ข้าวไม่ขัดสี และผลไม้ เช่น แคนตาลูป สตรอว์เบอร์รี่ มีความสำคัญสำหรับการสร้างสมองและไขสันหลังของทารกในครรภ์ หญิงที่เตรียมตัวตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินตัวนี้เพื่อป้องกันความพิการของลูก </li>
</ul><ul><li><b>วิตามินซี</b> ช่วยสร้างกระดูก ฟัน เส้นเลือด และเนื้อเยื่ออีกหลายชนิด พบมากในส้ม มะนาว องุ่น มะเขือเทศ กะหล่ำปลี วิตามินซีถูกทำลายโดยความร้อน ผู้กินวิตามินซีจากผักผลไม้เป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง อาการของการขาดวิตามินซี คือ ฟกช้ำง่าย ผื่นตามตัว เลือดออกตามไรฟัน ปวดข้อ </li>
</ul><ul><li><b>วิตามินดี</b> ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากลำไส้ไปสะสมที่กระดูก ร่างกายสร้างวิตามินตัวนี้เองได้โดยอาศัยแสงแดด คนผิวดำต้องการแสงแดดเพื่อใช้สร้างวิตามินดีมากกว่าคนผิวขาว เพราะเม็ดสีที่ผิวหนังคอยสกัดไว้ </li>
</ul><ul><li><b>วิตามินอี</b> พบในถั่วเปลือกแข้ง เมล็ดพืช ข้าวไม่ขัดสี น้ำมันพืช ข้าวโพด ปวยเล้ง บรอกโคลี และแตงกวา วิตามินอีช่วยต่อต่านอนุมูลอิสระภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุของโคมะเร็งและความชรา อาหารมังสวิรัติมีวิตามินอีจำนวนมาก แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าการกินวิตามินอีสังเคราะห์มากเกินความจำเป็นมีผลอย่างไรต่อร่างกาย </li>
</ul><b>พิษของวิตามิน</b>หากร่างกายได้รับวิตามินสังเคราะห์ในปริมาณที่มากกว่าปกติ 10 เท่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย ที่พบบ่อยคือ วิตามินเอ ดี และเค <br />
<a href="" name=".E0.B8.9A.E0.B8.97.E0.B8.9A.E0.B8.B2.E0.B8.97.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B9.83.E0.B8.99.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B8.B5.E0.B9.89.E0.B8.A2.E0.B8.87.E0.B8.94.E0.B8.B9.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B9.87.E0.B8.81"></a><h2><span class="mw-headline"><b>บทบาทของพ่อแม่ในการเลี้ยงดูเด็ก</b> </span></h2><a class="image" href="http://swu141km.swu.ac.th/index.php/Image:9.jpg" title="image:9.jpg"><img alt="image:9.jpg" border="0" height="236" src="http://swu141km.swu.ac.th/images/3/30/9.jpg" width="236" /></a> <br />
รูปที่ 9 บทบาทของพ่อแม่ในการเลี้ยง <br />
จากการที่เด็กจำนวนมากยังต้องประสบปัญหาทางจิตใจ ก่อให้เกิดพฤติกรรม ต่าง ๆ เช่น ลักขโมย ติดยาเสพย์ติด อยากฆ่าตัวตาย ฯลฯ เป็นสิ่งที่สะท้อนว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่พ่อแม่ทุกคนจะเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพจิตที่ดีได้ทั้ง ๆ ที่มีความรักให้ลูกอย่างเต็มเปี่ยม การเลี้ยงลูกเป็น จึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ควบคู่กับการศึกษาจิตวิทยาพัฒนาการ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจพัฒนาการของลูกในแต่ละวัย ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว ผู้ได้ชื่อว่าบิดาแห่งวงการสุขภาพจิตของไทย กล่าวไว้ว่า เด็กมีปัญหาไม่มี มีแต่ผู้ใหญ่มีปัญหา เป็นสิ่งแสดงว่า บทบาทของพ่อแม่ที่กระทำต่อลูกมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเจริญ เติบโตเป็น “คน” ของลูก ในที่นี้จะกล่าวถึงบทบาทของพ่อแม่ ในฐานะต่าง ๆ อันเป็นกลวิธีที่จำเป็นในการอบรมเลี้ยงดูลูก ดังนี้ <br />
<a href="" name="1._.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B8.97.E0.B8.B3.E0.B8.AB.E0.B8.99.E0.B9.89.E0.B8.B2.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B8.B5.E0.B9.89.E0.B8.A2.E0.B8.87.E0.B8.94.E0.B8.B9.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B9.88.E0.B8.A7.E0.B8.A1.E0.B8.81.E0.B8.B1.E0.B8.99"></a><h3><span class="mw-headline">1. พ่อแม่ผู้ทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกร่วมกัน </span></h3>โดยยึดหลักของการทำงานเป็นทีมร่วมกัน หากพ่อแม่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ควรทำความตกลงกันในข้อแตกต่างว่าควรจะดำเนินการฝึก อบรมและปกครองลูกอย่างไรดี เมื่อตกลงกันได้แล้ว ทั้งพ่อและแม่มีความเห็นสอดคล้องกัน ลูกก็จะไม่เห็นความขัดแย้งของพ่อแม่จนเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ขัดกัน ในการเลี้ยงดูลูก จะปรับตัวได้ดีและมีความสุข หรืออีกอย่างหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตีหรือง้อลูก อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ควรตีหรือดุด่าอีกแรงหนึ่ง เพราะจะสร้างความรู้สึกกดดันให้เกิดกับลูกว่า ไม่มีใครเห็นอกเห็นใจ ไร้ที่พึ่ง และที่สำคัญอาจจะทำให้ลูกคิดไปว่าพ่อแม่ไม่รัก <br />
<a href="" name="2._.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B8.84.E0.B8.A3.E0.B8.B9.E0.B8.84.E0.B8.99.E0.B9.81.E0.B8.A3.E0.B8.81.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81"></a><h3><span class="mw-headline">2. พ่อแม่ผู้เป็นครูคนแรกของลูก</span></h3>ความเป็นครูเริ่มต้นจากการคุยกับลูกตั้งแต่เมื่อลูกลืมตาดูโลก โดยพูดกับลูกได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเวลาอาบน้ำ แต่งตัว เปลี่ยนผ้าอ้อม รวมทั้งขณะอุ้มและกอด ใช้การพูดที่ชัด หลีกเลี่ยง การพูดภาษาแบบเด็ก ๆ และถ้อยคำที่สูงเกินกว่าที่ลูกจะเข้าใจได้ เสียงของพ่อแม่มีความจำเป็นต่อพัฒนาการของลูกในวัยนี้อย่างมาก การปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน โดยหาหนังสือสนุก ๆ และน่าสนใจที่เหมาะแก่วัยมาอ่านให้ลูกเล็กฟัง การอ่านออกเสียงเพียงวันละ 5-10 นาที จะเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นพัฒนาการทางภาษา สติปัญญาของลูกได้อย่างดียิ่ง ความใกล้ชิดขณะ อ่านหนังสือยังจะทำให้พ่อแม่ลูกมีความรู้สึกผูกพันซึ่งกันและกันยิ่งขึ้น นอกจากนี้การพาลูกไปแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ น้ำตก ภูเขา เท่ากับเป็นการสอนลูกให้รู้จักธรรมชาติ ชื่นชมสิ่งที่ดีงามและมีคุณค่ากับจิตใจ กิจกรรมเหล่านี้จะประทับใจลูกตลอดไป <br />
<a href="" name="3._.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.9E.E0.B8.B7.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B9.88.E0.B8.99.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81_.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.80.E0.B8.A5.E0.B9.88.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B9.88.E0.B8.87.E0.B8.AA.E0.B8.B3.E0.B8.84.E0.B8.B1.E0.B8.8D"></a><h3><span class="mw-headline">3. พ่อแม่ผู้เป็นเพื่อนเล่นของลูก การเล่นเป็นสิ่งสำคัญ</span></h3>เพราะการเล่นของลูกช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโต และมีพัฒนาการให้ร่างกายแข็งแรง สร้างทักษะในการคิดสร้างสรรค์ พ่อแม่จึงควรหาเวลาเล่นกับลูก การเล่นกับลูกนั้นยังแสดงว่าพ่อแม่รักลูกและยอมรับโลกของลูก เช่น เมื่อลูกชักชวนให้พ่อแม่มาเตะฟุตบอล หรือลูกชักชวนแม่วาดรูประบายสีด้วยกัน พ่อแม่ควรสนองความต้องการของลูกน้อยทันที <br />
<a href="" name="4._.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.B1.E0.B8.A7.E0.B8.AD.E0.B8.A2.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81"></a><h3><span class="mw-headline">4. พ่อแม่ผู้เป็นตัวอย่างของลูก</span></h3>ตัวอย่างจากพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี เพราะตามธรรมชาติของเด็กเป็นคนเลียนแบบอยู่แล้ว พ่อแม่จึงต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อให้ลูกได้ลอกเลียนแบบด้วยวิธีการที่ว่า เลี้ยงลูกถูกวิธีคือ ทำดีให้ลูกดู พ่อแม่ส่วนมากมักมีความคิดที่จะให้ลูกทำตามที่ตนสั่ง แต่ไม่อยากให้ทำในสิ่งที่ตนทำ คำสั่งของพ่อแม่จึงไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย ในเมื่อผู้ใหญ่สั่งให้เด็กทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง เช่น สั่งห้ามไม่ให้ลูกสูบบุหรี่ ในขณะที่พ่อสูบได้ ซึ่งเด็กคิดว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำนั้นต้องเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เด็กเกิดความสับสนระหว่างคำพูดและการกระทำของผู้ใหญ่ <br />
<a href="" name="5._.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B8.A1.E0.B8.B5.E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.AA.E0.B8.A1.E0.B8.AD.E0.B8.A0.E0.B8.B2.E0.B8.84_.E0.B8.84.E0.B8.B7.E0.B8.AD.E0.B8.9B.E0.B8.8F.E0.B8.B4.E0.B8.9A.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.95.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81.E0.B8.AD.E0.B8.A2.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B8.A2.E0.B8.A1.E0.B8.81.E0.B8.B1.E0.B8.99"></a><h3><span class="mw-headline">5. พ่อแม่ผู้มีความเสมอภาค คือปฏิบัติต่อลูกอย่างเท่าเทียมกัน </span></h3>ไม่มีความลำเอียงหรืออคติ เข้าทำนองเลือกที่รักมักที่ชัง อันจะนำไปสู่การเปรียบเทียบและเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าพ่อแม่ไม่รัก ดังเช่นครอบครัวหนึ่งมีลูก 2 คน ลูกชายมีร่างกายพิการ น้องสาวได้รับการเอาใจจากพ่อแม่ต่างกัน ทั้งเรื่องเงินทองและเครื่องแต่งกาย ความไม่เท่าเทียมกันนี้ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยใจ เสียใจ จนกระทั่งคิดฆ่าตัวตาย ดังนั้น ผู้เป็นพ่อแม่ควรให้ความยุติธรรมแก่ลูก ๆ ควรสอนให้ลูกเคารพในสิทธิของผู้อื่น ลูกต้องเรียนรู้ที่จะไม่หยิบของที่ไม่ใช่ของตัวเอง น้องต้องไม่แย่งของพี่ ถ้าอยากได้ก็ขอ ดี ๆ พี่มีสิทธิ์ที่จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ พี่ไม่จำเป็นจะต้องตกอยู่ในฐานะผู้เสียสละอยู่ร่ำไป แต่ในทางปฏิบัติ พ่อแม่จะต้องแสดงให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่างของการให้และการแบ่งปัน <br />
<a href="" name="6._.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.84.E0.B8.B7.E0.B8.AD.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.A1.E0.B8.B5.E0.B9.80.E0.B8.A7.E0.B8.A5.E0.B8.B2.E0.B8.84.E0.B8.B8.E0.B8.93.E0.B8.A0.E0.B8.B2.E0.B8.9E.E0.B9.83.E0.B8.AB.E0.B9.89.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81.E0.B9.80.E0.B8.AA.E0.B8.A1.E0.B8.AD"></a><h3><span class="mw-headline">6. พ่อแม่คือผู้ที่มีเวลาคุณภาพให้ลูกเสมอ </span></h3>พ่อแม่ที่เห็นความสำคัญของลูกเป็นอันดับแรกจะมีเวลาอยู่ร่วมกับครอบครัว เพราะเล็งเห็นว่าความสำเร็จในหน้าที่การงานจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าครอบครัวมีปัญหา พ่อแม่สมัยนี้มักจะทำงานนอกบ้าน แม้จะมีเวลาว่างไม่มากนัก ก็ต้องพยายามหาเวลาคุณภาพที่จะทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ทานอาหารเย็นพร้อมหน้ากัน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาของครอบครัว เป็นเวลาที่มีความหมายเหลือเกิน เพราะเป็นเวลาที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้พบกัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่น่าพอใจและสนุกสนานร่วมกัน เป็นบรรยากาศของความรัก ความใกล้ชิด และการเพิ่มความผูกพันต่อกันมากยิ่งขึ้น กิจกรรมอย่างอื่นที่พ่อแม่ลูกจะทำร่วมกันได้มีมากมาย เช่น การทำกับข้าว ล้างรถการเล่นเกมต่อภาพ การเล่นกีฬา เล่นดนตรี การออกกำลังกาย การไปพักผ่อนเป็นครอบครัว การเดินทางเที่ยวไปตามธรรมชาติตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นต้น <br />
<a href="" name="7._.E0.B8.9E.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.9C.E0.B8.B9.E0.B9.89.E0.B8.A1.E0.B8.B5.E0.B9.80.E0.B8.A1.E0.B8.95.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1_.E0.B8.94.E0.B8.B9.E0.B8.88.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.A3.E0.B8.B7.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.A3.E0.B8.A1.E0.B8.94.E0.B8.B2.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B9.87.E0.B8.81_.E0.B9.86_.E0.B8.A2.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.A1.E0.B8.97.E0.B8.B3.E0.B8.AD.E0.B8.B0.E0.B9.84.E0.B8.A3.E0.B8.9C.E0.B8.B4.E0.B8.94.E0.B8.9E.E0.B8.A5.E0.B8.B2.E0.B8.94.E0.B9.84.E0.B8.94.E0.B9.89"></a><h3><span class="mw-headline">7. พ่อแม่ผู้มีเมตตาธรรม ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็ก ๆ ย่อมทำอะไรผิดพลาดได้ </span></h3>เช่น ทำข้าวของในบ้านเสียหายทำแก้ว จานแตก โดยไม่ได้เจตนา ถ้าลูกยังเล็ก ๆ ก็อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อมือยังพัฒนาไม่เต็มที่ ส่วนลูกที่โตแล้วก็อาจทำไปเพราะความพลั้งเผลอ <br />
การปรึกษาและการพบแพทย์ <br />
<a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B6.E0.B8.81.E0.B8.A9.E0.B8.B2.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.9E.E0.B8.9A.E0.B9.81.E0.B8.9E.E0.B8.97.E0.B8.A2.E0.B9.8C"></a><h2><span class="mw-headline"><b>การปรึกษาและการพบแพทย์</b> </span></h2><a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.A7.E0.B8.88.E0.B8.AA.E0.B8.B8.E0.B8.82.E0.B8.A0.E0.B8.B2.E0.B8.9E.E0.B8.95.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B8.99.E0.B8.B1.E0.B8.94"></a><h3><span class="mw-headline">การตรวจสุขภาพตามนัด</span></h3><ul><li>วิธีที่ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกจะมีสุขภาพที่ดีคือการพาลูกไปตรวจสุขภาพตามนัด โดยมากแล้วการตรวจครั้งแรกคือภายใน 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด ส่วนครั้งต่อไปมักเป็นไปตามตารางการฉีดวัคซีนคือ 1 หรือ 2 เดือน 4, 6, 9, 12, 18, 24 เดือน และทุก 6 – 12 เดือนหลังจากนี้ </li>
<li>เวลาที่พบกัน หมอจะถามว่าเด็กสบายเป็นอย่างไร สบายดีหรือไม่ ชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง ความยาวรอบศีรษะ ตรวจร่างกาย และประเมินพัฒนาการของลูก หากผลการตรวจปกดี หมอจะแนะนำเรื่องการดูแลเด็กในด้านต่างๆ เช่น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การให้อาหารเสริมตามวัย การกระตุ้นพัฒนาการ การดูแลเรื่องความปลอดภัย การฝึกระเบียบวินัยและการฝึกให้เด็กช่วยเหลือตนเอง การพูดคุยปรึกษาเรื่องต่างๆ จะช่วยพัฒนาความคุ้นเคยและความไว้วางใจระหว่างคุณและหมอ </li>
</ul><a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.9B.E0.B9.89.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.81.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.84.E0.B8.94.E0.B9.89.E0.B8.A3.E0.B8.B1.E0.B8.9A.E0.B8.AD.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.A2"></a><h2><span class="mw-headline"><b>การป้องกันการได้รับอันตราย</b> </span></h2><a href="" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.94.E0.B8.B9.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.A5.E0.B8.B9.E0.B8.81.E0.B9.83.E0.B8.AB.E0.B9.89.E0.B8.9B.E0.B8.A5.E0.B8.AD.E0.B8.94.E0.B8.A0.E0.B8.B1.E0.B8.A2"></a><h3><span class="mw-headline"><a class="external text" href="http://www.elib-online.com/doctors50/child_good002.html" rel="nofollow" title="http://www.elib-online.com/doctors50/child_good002.html">การดูแลลูกให้ปลอดภัย</a></span></h3><ul><li>ความปลอดภัยของลูกคืองานที่สำคัญที่สุดของพ่อแม่ งานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก การให้คุณค่าความสำคัญต่อลูก การฝึกระเบียบวินัย ความสนุก และการศึกษา ไม่มีความหมายอันใดเลย หากปราศจากความปลอดภัย เราพ่อแม่สัญญากับลูกว่าจะดูแลให้เขาปลอดภัย และลูกก็คาดหวังสิ่งนั้นจากพ่อแม่ จุดเริ่มต้นของพัฒนาการทางจิตของทารกคือ ความเชื่อใจว่าผู้ดูแลสามารถดูแลเขาให้ปลอดภัยได้ (trust) </li>
<li>ส่วนใหญ่แล้วสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์เป็นเรื่องของความปลอดภัย ทารกร้องไห้ กระตุ้นให้พ่อแม่อุ้ม หรือให้นม ปฏิกิริยาเหล่านี้ช่วยให้มนุษย์อยู่รอดมาได้ แม้ในยุคปัจจุบันยังมีอันตรายอยู่รอบๆ การได้รับอันตรายเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของเด็กอายุมากกว่า 1 ขวบ เป็นตัวเลขที่มากกว่าการตายจากโรคทุกโรครวมกัน ในแต่ละปี เด็กจำนวนมากกว่า 10 ล้านคนต้องพบแพทย์เพราะการได้รับอันตราย จำนวน 1 ใน 6 ของเด็กที่นอนโรงพยาบาล เพราะการได้รับอันตรายมีความพิการถาวรติดตัว และมากกว่า 5 พันคนเสียชีวิต </li>
<li>ถึงแม้ว่าในช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้จะมีการตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องดังกล่าว มีการรณรงค์กระตุ้นเตือนสาธารณะ และมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้นแล้วก็ตาม ก็ยังพบว่าในโลกนี้ยังเป็นสถานที่อันตรายสำหรับเด็กๆ อยู่ดี </li>
<li>จุดประสงค์ของการกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อทำให้คุณกลัว แต่เพื่อช่วยให้คุณระมัดระวังมากขึ้น ยิ่งคุณรู้เรื่องภยันตรายที่รอลูกอยู่นอกบ้านและในบ้าน ยิ่งทำให้คุณช่วยลูกให้ปลอดภัยได้โดยที่ขณะเดียวกันคุณยังดำเนินชีวิตด้านอื่นๆ ที่สำคัญของคุณต่อไปได้ </li>
</ul><a href="" name=".E0.B9.82.E0.B8.A3.E0.B8.84.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.9E.E0.B8.9A.E0.B9.83.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.94.E0.B9.87.E0.B8.81"></a><h3><span class="mw-headline">โรคที่พบในเด็ก</span></h3><ul><li>โรคหัด </li>
</ul>ช่วง 3-4 วันแรกที่เป็นไข้ยังไม่มีผื่นขึ้น อาการจึงคล้ายกับโรคหวัด มีตาแดงและขี้ตา เด็กมักมีอาการไอรุนแรง ไข้สูงทุกวัน ในวันที่ 4 เริ่มมีผื่นเป็นสีชมพูขอบเขตไม่ชัดเจน ขึ้นที่หลังใบหู แล้วลามมาที่ใบหน้าและลำตัว เป็นผื่นขนาดใหญ่และสีเข้ม ไข้และอาการไอยังคงอยู่ จนกระทั่งผื่นกระจายทั่งตัว อาการไข้และไอจึงเริ่มดีขึ้น ภาวะแทรกซ้อนที่พบอยู่บ่อยที่สุดคือ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบ นึกถึงภาวะแทรกซ้อนเมื่อไข้ไม่ลดลงตามระยะเวลา หรือไข้ลดแล้วกลับมาใหม่ ไม่มีการรักษาจำเพาะสำหรับโรคหัด แต่มีการป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนอาจรุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา แต่รักษาได้ด้วยยา ถ้าลูกได้รับวัคซีนครบ โอกาสเป็นโรคน้อยมาก หากสงสัยว่าลูกอาจเป็นหัดควรปรึกษาแพทย์หากลูกมีอาการไอ ไข้และผื่น ระยะฟักตัวของหัดคือ 9-16 วันหลังจากรับเชื้อ แพร่เชื้อได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการคล้ายหวัด วัคซีนป้องกันโรคหัดฉีดในช่วงอายุ 9-12 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4 ขวบ หากลูกสัมผัสกับเชื้อโรคโดยไม่มีภูมิต้านทาน อาจป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือทำให้อาการรุนแรงน้อยลงได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ โรคหัดเยอรมัน ผื่นมีลักษณะคล้ายออกหัด แต่เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิด โรคนี้ไม่มีอาการหวัดหรือไอ แต่อาจมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยไข้ต่ำกว่า 102 องศาฟาเรนไฮต์ และดูอาการไม่ป่วยหนัก ผื่นเป็นจุดชมพูผิวเรียบ เริ่มเป็นที่ลำตัวก่อน อาการแสดงที่จำเพาะคือ ต่อมน้ำเหลืองบวมและเจ็บที่ท้ายทอย หลังใบหู และตามลำคอ โดยอาจบวม ก่อนที่ผื่นจะขึ้น และยุบหลังจากที่หายแล้วบางคนผื่นขึ้นจางมากจนแทบมองไม่เห็น บางคนอาจมีอาการปวดข้อระยะฟักตัวคือ 12-21 วันหลังจากรับเชื้อ ผื่นอาจมีลักษณะคล้ายผื่นจากโรคอื่น เช่น โรคหัด ไข้อีดำอีแดง และเชื้อไวรัสอื่นๆ โรคนี้เป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ช่วง 3 เดือนแรก เพราะทำให้ทารกในครรภ์พิการ หากมีประวัติสัมผัสโรค ควรปรึกษาแพทย์ทันที การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันทำพร้อมกับวัคซีนหัดและคางทูมที่อายุ 9-12 เดือน และกระตุ้นที่อายุ 4 ขวบ <br />
<ul><li>โรคหัดกุหลาบ </li>
</ul>เป็นที่รู้จักไม่มากเท่ากับโรคหัดและหัดเยอรมัน แต่เป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยมักเป็นในเด็กอายุ 1-3 ขวบ มีอาการไข้สูงนาน 3-4 วัน โดยไม่มีอาการหวัด และดูอาการไม่ป่วยหนัก (ยกเว้นบางคนมีอาการชักจากไข้สูงได้ในวันแรกของไข้) ต่อมาไข้จะลดลงอย่างเฉียบพลัน แล้วมีผื่นสีชมพูพื้นเรียบขึ้นตามร่างกาย ช่วงนี้ดูไม่ค่อยป่วยแล้ว แต่อาจงอแงกว่าปกติ ผื่นจะหายไปภายใน 2-3 วันช่วงที่ผื่นยังไม่ขึ้น การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้ยาก ต่อเมื่อผื่นปรากฏแล้วเด็กรู้สึกดีขึ้น จึงวินิจฉัยโรคได้ ไม่มีวัคซีนป้องกันโรค เนื่องจากเป็นโรคไม่ร้ายแรง โรคสุกใส อาการแสดงแรกคือ การมีตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย ใบหน้า และหนังศีรษะ โดยผื่นตอนแรกอาจดูคล้ายผด แต่บางตุ่มมีน้ำสีเหลืองเล็กๆอยู่ด้านบน ผนังตุ่มบางมากจึงแตกง่ายแล้วตกสะเก็ด ตุ่มใหม่จะเพิ่มขึ้นในช่วง 3-4 วันแรก บางคนมีอาการคันมากเด็กโตหรือผู้ใหญ่อาจมีอาการรุนแรง คือ ปวดศีรษะ หรือมีไข้นำมาก่อนตุ่มขึ้นตามผิวหนัง ขณะที่เด็กเล็กอาจไม่มีไข้นำมาก่อน หรือมีไข้ต่ำหรือไข้สูงก็ได้ การใช้ยาต้านไวรัสอาจช่วยลดระยะเวลาการป่วยหรือลดความรุนแรง คุณควรปรึกษาแพทย์ว่าควรใช้หรือไม่ในกรณีของลูกตุ่มน้ำจากสุกใสอาจสับสนกับตุ่มผิวหนังติดเชื้อจากแบคทีเรีย จึงควรปรึกษาแพทย์หากลูกเป็นผื่น ร่วมกับมีไข้หรือดูป่วยหนักแพทย์อาจให้ยาแอนติฮิสทามีนเพื่อลดอาการคัน ยาลดไข้พาราเซตามอล แต่ไม่ให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้เป็นโรคไลม์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกาจนมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนหรือมีแผลเป็น ให้ล้างมือลูกบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ ใส่ถุงมือผ้าเวลานอน ระยะฟักตัวคือ 11-19 วันหลังรับเชื้อ ระยะแพร่เชื้อตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการจนกระทั่งวันที่ตุ่มทุกตุ่มตกสะเก็ด คือ ประมาณ 6 วันหลังจากมีผื่นขึ้น วัคซีนป้องกันโรคและลดความรุนแรงได้ เด็กที่มีภูมิต้านทานบกพร่อง เช่น AIDS หรือกำลังได้รับ ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง หากสัมผัสโรค ต้องรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันทีเพื่อป้องกันการเกิดโรครุนแรง <br />
<ul><li>โรคติดเชื้อออกผื่นชนิดอื่น </li>
</ul>ไวรัสที่ทำให้เป็นหวัดหรือลำไส้อักเสบ เช่น Adenovirus , ECHO และ Coxsackie อาจมีผื่นร่วมด้วย ส่วนใหญ่เป็นผื่นจางๆที่ลำตัว ใบหน้า แขน และขา และจางหายใน 2-3 วัน <br />
<a href="" name=".E0.B8.AA.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.9B"></a><h3><span class="mw-headline">สรุป</span></h3>วัยเด็กเป็นวัยที่มีความสำคัญต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต การเลี้ยงดูปลูกฝังของพ่อแม่เป็นส่วนหนึ่งที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก ซึ่งหากพ่อแม่ที่มีการอบรมปลูกฝังและการดูแลที่ดีทั้งในแง่พฤติกรรม อารมณ์ สุขภาพ การแสดงออก การตัดสินใจ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อเด็ก ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ดังนั้น การให้ความสำคัญกับเด็ก การดูแลเอาใจใส่เด็ก รวมถึงการให้ความรัก และมีความเข้าอกเข้าใจ ในพัฒนาการ รู้จักส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดอย่างสร้างสรรค์มีการแสดงออกอย่างเหมาะสม โดยอยู่ภายใต้พื้นฐานของคุณธรรมและจริยธรรมที่ดีงาม จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กกลายเป็นบุคคลที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข <br />
<a href="" name=".E0.B9.80.E0.B8.AD.E0.B8.81.E0.B8.AA.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.AD.E0.B9.89.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B8.AD.E0.B8.B4.E0.B8.87"></a><h3><span class="mw-headline">เอกสารอ้างอิง</span></h3><ul><li>ชนิกา ตู้จินดา. (2548). คู่มือเลี้ยงลูก. พิมพ์ครั้งที่ 22. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดี. </li>
<li>ทรงสุดา ภู่สว่าง. การเลี้ยงดูและการอบรมเด็ก. [ออนไลน์]. , จาก<a class="external free" href="http://www.human.cmu.ac.th/~hc/ebook/006103/lesson3/01.htm" rel="nofollow" title="http://www.human.cmu.ac.th/~hc/ebook/006103/lesson3/01.htm">http://www.human.cmu.ac.th/~hc/ebook/006103/lesson3/01.htm</a> </li>
<li>พนม เกตุมาน.(2550,พฤษภาคม) ครอบครัวไทย ใจเต็มร้อย. [ออนไลน์]. , จาก <a class="external free" href="http://www.psyclin.co.th/new_page_54.htm" rel="nofollow" title="http://www.psyclin.co.th/new_page_54.htm">http://www.psyclin.co.th/new_page_54.htm</a> </li>
<li>มานพ ถนอมศรี. พัฒนาการของลูกก่อนวัยเรียน. แม่และเด็ก. 19(293):/173-175. </li>
<li>วรรณา หวังกิตติพร. (2552). เติบโตแข็งแรง. กรุงเทพฯ: แพลน บี. </li>
<li>สป๊อก;และเบนจามิน สป๊อก. (2552). คัมภีร์เลี้ยงลูก. แปลโดย สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์สุขภาพ. </li>
</ul><a href="" name=".E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.A2.E0.B8.8A.E0.B8.B7.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B8.AA.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.8A.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.81.E0.B8.A5.E0.B8.B8.E0.B9.88.E0.B8.A1_3_SC1ED3_B04"></a>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-41438788358352421732011-01-25T22:06:00.000-08:002011-01-25T22:06:10.257-08:00การพัฒนาพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย<div class="post-top"> <div class="post-title"> <h2 style="color: black;"><a href="http://www.poonyarit.com/article/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%92%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%a4%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a1%e0%b8%b5/" rel="bookmark" title="Permanent Link to การพัฒนาพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย">การพัฒนาพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย</a></h2><h3> </h3></div></div><span lang="TH" style="font-family: "Angsana New";"><span></span></span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;"> การพัฒนาพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย<br />
ผศ.วัฒนา ปุญญฤทธ์<br />
พฤษภาคม 2553</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;"><img alt="a57" class="size-full wp-image-394 aligncenter" height="281" src="http://www.poonyarit.com/wp-content/uploads/2010/06/a57.jpg" title="a57" width="373" /><br />
การมีวินัยเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานด้านหนึ่งที่ กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ให้สถานศึกษานำไปเป็นจุดมุ่งหมายการพัฒนาด้านจิต พิสัยของนักเรียน ทั้งนี้ได้ให้ความหมายว่า การมีวินัยคือการยึดมั่นในระเบียบแบบแผนข้อบังคับและข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม ผู้ที่มีวินัยคือผู้ที่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎ ระเบียบ ของสถานศึกษา สถาบัน/องค์กร/สังคมและประเทศ โดยที่ตนเองยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจ ขณะเดียวกันสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2552:9) ให้ความหมายว่า วินัยในตนเองคือความสามารถในการบังคับพฤติกรรมของตนเองด้วยตนเองซึ่งมีวุฒิ ภาวะประเภทหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนควรมี สำหรับการพัฒนาคุณธรรมด้านการมีวินัยในเด็กปฐมวัยในสถานศึกษานั้น สามารถพัฒนาไปพร้อมๆกันทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม ซึ่งต้องอาศัยเวลาและการฝึกปฏิบัติให้เด็กมีโอกาสแสดงพฤติกรรมที่เอื้ออำนวย เด็กจะได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติกิจกรรมและพัฒนาไปสู่การมีวินัยในตนเอง และวินัยต่อส่วนรวมในที่สุด<br />
การพัฒนาคุณธรรมด้านการมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัยสามารถพัฒนาจากกิจกรรม สภาพแวดล้อม บรรยากาศของห้องเรียนและการจัดการชั้นเรียนดังนี้<br />
1. กิจกรรมที่สนับสนุนการมีวินัยในตนเอง สารมารถจัดได้ในกิจกรรมดังต่อไปนี้<br />
1.1 การปฏิบัติตนในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งได้แก่การสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติกิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ในเวลาที่กำหนดให้ เช่น การเล่น การพักผ่อน การรับประทาน การทำความสะอาดร่างกาย ฯลฯ</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;"><span id="more-393"></span></div><div style="text-align: left;"> </div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;"> 1.2 การปฏิบัติตนในกิจกรรมประจำวันที่สถานศึกษากำหนด ซึ่งได้แก่การสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติตามเวลาของการทำกิจกรรมที่กำหนดและทำ ตามข้อตกลงหรือข้อกำหนดของการทำกิจกรรมนั้นๆ เช่น การเล่นตามมุมประสบการณ์หลังจากปฏิบัติกิจกรรมสร้างสรรค์แล้ว การเลิกเล่นเมื่อได้ยินสัญญาณให้เลิกพร้อมกับเก็บอุปกรณ์เข้าที่อย่างเรียบ ร้อย เป็นต้น<br />
1.3 การจัดประสบการณ์ให้เด็กรับฟัง รับรู้ มีส่วนร่วม เกี่ยวกับการมีวินัยในตนเองที่มีผลต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม เช่น การให้ฟังนิทานแล้วแสดงความคิดเห็น การฟังสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น แล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงข้อดีข้อเสียและกำหนดเป็นแนวทางหรือวิธีที่ พึงปฏิบัติ การให้ร่วมกันกำหนดกติกา กฏเกณฑ์ ข้อตกลงต่างๆเพื่อการอยู่ร่วมกัน เป็นต้น<br />
2. สภาพแวดล้อมในห้องเรียน การจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนต้องสนับสนุนให้เด็กมีวินัยในตนเอง ได้แก่การจัดวัสดุอุปกรณ์ของเล่นของใช้ที่พอเพียงต่อการเล่นหรือการทำ กิจกรรมในแต่ละครั้ง เพื่อลดปัญหาการแย่งชิงของเล่นของใช้ การกำหนดวิธีการเล่น / ใช้ ที่ชัดเจน เช่น การกำหนดจำนวนผู้เข้าเล่นในมุมการเล่นที่แน่นอน โดยอาจมีการทำป้ายบอกจำนวนผู้เล่นไว้ หากมาทีหลังต้องรอคอยให้ถึงเวลาของตน รวมทั้งการจัดพื้นที่ของห้องให้เด็กเคลื่อนที่ได้สะดวก ไม่กระทบกิจกรรมของผู้อื่น และการจัดของเล่นของใช้ที่เน้นให้เด็กพึงพาตนเองและปฏิบัติตามขั้นตอนหรือ ข้อแนะนำในการเล่น / ใช้ ของนั้นๆ</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;"><img alt="a58" class="alignnone size-full wp-image-395" height="349" src="http://www.poonyarit.com/wp-content/uploads/2010/06/a58.jpg" title="a58" width="309" /><br />
3. บรรยากาศของห้องเรียน บรรยากาศของห้องเรียนจะต้องส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และมีบรรยากาศที่สนับสนุนการมีวินัยในตนเอง คือมีบรรยากาศแห่งความเป็นประชาธิปไตย มีการอยู่ร่วมกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีการยอมรับซึ่งกันและกัน มีการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะทำได้ มีการให้กำลังใจเพื่อให้เด็กทำสิ่งต่างๆจนประสบความสำเร็จ และให้โอกาสที่จะได้รับความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆอย่างเท่าเทียมกัน<br />
4. การจัดชั้นเรียน ซึ่งประกอบด้วยการจัดการใน 3 ส่วน ได้แก่การจัดการด้านกายภาพคือการจัดเรื่องพื้นที่ใช้สอย พื้นที่ในการทำกิจกรรม พื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ เครื่องใช้ และช่องทางจราจรให้มีความสะดวก มีความพอเพียงในการทำกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน การจัดการด้านจิตภาพ ได้แก่การจัดให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีสิทธิและหน้าที่ที่เท่าเทียมกันและมีความเคารพในสิทธิหน้าที่ของแต่ละคน นำไปสู่การมีวินัยในตนเอง การจัดการส่วนที่สามคือการจัดการด้านสังคมภาพ เป็นการจัดการเรื่องข้อกำหนด กฏเกณฑ์ กติกา ข้อตกลงต่างๆที่จะให้การดำเนินกิจกรรมประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งการตกลงเหล่านี้ ครูต้องเปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิและมีส่วนในการแสดงความคิดเห็น ร่วมตกลง หลังจากนั้นจะต้องร่วมกันปฏิบัติและดูแลให้ทุกคนปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นๆตลอด เวลา การจัดการชั้นเรียนดังกล่าวจะเป็นวิธีการหนึ่งในการฝึกฝนให้เด็กรู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบและมีวินัย<br />
การมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย เป็นลักษณะของการเริ่มแสดงถึงผลของการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและการฝึกฝนให้ ปฏิบัติเกี่ยวกับการรับรู้ถึงกฏเกณฑ์ กติกา ข้อตกลงและสิ่งที่พึงกระทำในส่วนที่เกี่ยวกับการดูแลตนเอง การปฏิบัติอย่างเหมาะสมในสิ่งที่ต้องกระทำเพื่อให้เกิดผลดีต่อตนเอง ผู้อื่น ส่วนรวมหรือสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เป็นการปฏิบัติอย่างเต็มใจโดยไม่ต้องบอกหรือบังคับ สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมต่อไปนี้<br />
1. ปฏิบัติตามระเบียบของสถานศึกษา<br />
2. ปฏิบัติตามข้อตกลงของห้อง<br />
3. ทำตามกติกาในการเล่น / ทำกิจกรรม<br />
4. ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของตนเอง<br />
5. เล่น / ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้<br />
6. อดทนรอคอยที่จะได้รับสิ่งที่ต้องการ<br />
7. เข้าแถวตามลำดับก่อนหลังโดยไม่แซงคิว<br />
8. ทำตามที่สัญญาหรือตกลงกันไว้<br />
9. ปฏิบัติสิ่งที่ได้รับมอบหมายจนแล้วเสร็จ<br />
10. ทำงานจนเสร็จตามเวลาที่กำหนด<br />
11. ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น<br />
12. ใช้ของใช้หรือเล่นของเล่นอย่างระมัดระวัง<br />
13. เก็บของเข้าที่หลังจากใช้แล้วหรือเล่นเสร็จ</div><div style="text-align: left;"> </div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: left;"> ใน การสังเกตพฤติกรรมความมีวินัยของเด็กนั้นสามารถสังเกตโดยการบันทึกพฤติกรรม ลงในแบบบันทึก ขณะที่เด็กทำกิจกรรมที่สัมพันธ์กับการเกิดพฤติกรรม เช่น การสังเกตพฤติกรรมขณะเด็กทำกิจกรรมเสรีที่เด็กมีโอกาสเล่นกับเพื่อน เล่นกับเครื่องเล่นต่างๆในมุมการเล่น การเข้าเล่นที่มุมการเล่นโดยปฏิบัติตามข้อตกลงในการเล่น การปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองและการควบคุมตนเองให้ทำตามเงื่อนไข ข้อตกลง และสิ่งที่ควรกระทำ เป็นต้น การสังเกตนั้นอาจจะบันทึกในรูปของความถี่ที่แสดงพฤติกรรมหรือตามระดับของ พฤติกรรมนั้นๆ<br />
การพัฒนาพฤติกรรมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย จึงเริ่มโดยการฝึกหัดเกี่ยวกับพฤติกรรมในกิจวัตรประจำวัน การทำกิจกรรมประจำวันที่เป็นไปตามกติกา กฎ ระเบียบ ข้อตกลงต่างๆโดยการแนะนำ ฝึกฝน ให้การสนับสนุนและการเป็นตัวแบบของผู้ใหญ่ ส่วนการสังเกตพฤติกรรมนั้นสามารถสังเกตขณะที่เด็กทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การเกิดวินัยในตนเอง และบันทึกไว้ในแบบบันทึกเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในการจัดประสบการณ์ของครู ต่อไป</div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-57929498444200964792011-01-10T06:39:00.000-08:002011-01-10T06:39:01.965-08:00มารยาทที่พึงประสงค์ของเด็กปฐมวัยความหมายของมารยาทไทย ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายว่ามารยาทหรือมรรยาท เป็นคำไทย ซึ่งนำมาจากภาษาบาลี ว่า “ มริยาท ” หรือภาษาสันสกฤตว่า “ มรยาทา ” แปลว่า กิริยาวาจาที่ถือว่าเรียบร้อย หมายถึง การปฏิบัติตนโดยผ่านกระบวนการฝึกอบรม ขัดเกลาให้เป็นไปตามความนิยมยอมรับของสังคมแต่ละสังคม <br />
<br />
ลักษณะเฉพาะของมารยาทไทย ที่แสดงถึงวัฒนธรรมของชาติ และเป็นการแสดงออกต่อผู้อื่นที่นุ่มนวล มีความเป็นระเบียบแบบแผน มีกาละเทศะ คือ<br />
<br />
<b>· สุภาพอ่อนน้อม<br />
· เคารพระบบอาวุโส<br />
· มีกิริยาวาจาคำลงท้ายเฉพาะ<br />
· มีการยืน เดิน นั่ง ที่ต่างบรรยากาศ<br />
· มีการแสดงความเคารพ<br />
· การทักทาย<br />
· การใช้วาจา<br />
· การแสดงความคิดเห็น</b><br />
<br />
คุณค่าของมารยาทไทย เรื่องของมารยาทนั้น ยังมักเข้าใจกันว่าเป็นเรื่องวิธีการเข้าสังคม ปรับตัวให้เข้ากับหมู่คณะเพื่อความเป็นระเบียบ เพื่อความงดงามน่าดู ความจริงแล้วมารยาทเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ โดยเฉพาะวัฒนธรรมของไทย ซึ่งส่วนหนึ่ง มาจากสังคมเกษตรกรรม และอีกส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาต่างๆทั้งศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ คนไทยได้รับการยกย่องจากชาวต่างชาติมาช้านานว่า เป็นผู้มีมารยาทอ่อนโยน นุ่มนวล น่ารัก<br />
<br />
ลักษณะมารยาทที่ดีในเด็กปฐมวัย สามารถจำแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้<br />
<b>1. มารยาทการพูดจา</b><br />
· เจรจาไพเราะ มีหางเสียง ครับ หรือ ค่ะ<br />
<br />
· รู้จักใช้คำว่า ขอบคุณ และ ขอโทษ ให้เป็นนิสัย<br />
<br />
· ไม่พูดเสียงดังเกินไป หรือตะโกนโหวกเหวก เป็นกิริยาที่ไม่งาม<br />
<br />
· งดพูดคำหยาบคาย เพราะไม่เป็นมงคลแก่ผู้พูด และผู้ฟัง<br />
<br />
<b>2. มารยาทการแสดงออก</b><br />
· หลีกเลี่ยงการแย่งกันพูด นอกจากจะไม่น่าดูแล้วยังไม่รู้จักการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย<br />
<br />
· ฝึกท่าทางประกอบการพูดให้เหมาะสม ไม่ยกมือขวักไขว่ หรือแสดงท่าทางอยู่ตลอดเวลา ฝึกพูดให้มีจังหวะ เสียงชัดเจน พูดสั้นแต่ได้ใจความ ไม่เพ้อเจ้อ เพราะบางคนแก้เขินด้วยการแลบลิ้น การยักคิ้ว โดยไม่ตั้งใจ เมื่อทำบ่อยๆก็จะติดเป็นนิสัยและเสียบุคลิกภาพได้<br />
<br />
· แสดงไมตรีจิตด้วยการทักทาย สนใจทุกข์สุข และแสดงความจริงใจ<br />
<br />
· การมีสัมมาคารวะ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ รู้จักเคารพผู้อื่น<br />
<br />
· การแสดงออกเมื่อมีโอกาส เป็นมารยาทที่ต้องฝึกให้เป็นนิสัย เช่น มารยาทการลุก นั่ง เดิน ยืน การใช้น้ำเสียง การควบคุมอารมณ์ <br />
<br />
· มารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ เช่นไม่นั่งไขว่ห้าง ไม่นั่งกระดิกเท้า ไม่นั่งเหยียดเท้าถ่างขา เวลาเดินผ่านก็ต้องก้มหลัง หรือถ้าพบผู้ใหย่ก็ต้องแสดงความเคารพ <br />
<br />
· รู้จักกล่าวคำสุภาพ ไม่พูดจาล้อเลียนหลอกลวงผู้ใหญ่ ต้องมีความนอบน้อมนับถือผู้ใหญ่<br />
<br />
· ต้องไม่แสดงกิริยาขัดขวางสิ่งที่นิยมกัน เช่นขณะที่เขานั่งอยู่กับพื้น ตนเองต้องไม่ยืน ขณะที่เขาทุกข์โศกต้องไม่แสดงกิริยารื่นเริง ถ้าเป็นแขกบ้านใดก็ต้องเกรงใจเจ้าของบ้าน เมื่อพบใครต้องไม่จ้องดูเขา<br />
<br />
· ต้องรู้จักเกรงอกเกรงใจผู้อื่น รู้จักเคารพผู้อื่น รู้จักแสดงความอ่อนน้อมทั้งกาย วาจา ใจ และแสดงมารยาทกับผู้อื่นได้เหมาะสมกับวัย กับบุคคล กับโอกาส และสถานที่<br />
<br />
ปัจจุบันพฤติกรรมการแสดงออกของนักเรียนพบว่า มีมารยาทที่แตกต่างจากเดิมมาก ทั้งยังเป็นไปในทางลบ ไม่ว่าด้านการพูด ด้านการกระทำ และด้านการแสดงออก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลูกฝังและพัฒนาตั้งแต่ระดับปฐมวัย เพราะการปลูกฝังมารยาทไทยนั้นเป็นการซึมซับ ซึ่งวิธีการที่จะช่วยพัฒนามารยาทไทยให้กับเด็กปฐมวัย ได้แก่พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่างสำคัญ และต้องคอยอบรม คอยแนะนำ คอยสั่งสอนเด็กอย่างใกล้ชิด ตลอดจนคุณครูประจำชั้น จะต้องมีหน้าที่ให้วิชาความรู้เรื่องมารยาทไทยกับเด็ก และจะต้องฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับมารยาทให้เด็กเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะจัดผนวกไปกับตารางประจำวันก็ได้ เช่นก่อนเข้าห้องเรียน หรือก่อนกลับบ้านตอนเย็น ตามความเหมาะสมและจำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัยnomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-71442076097287369462011-01-06T04:16:00.000-08:002011-01-06T04:16:54.926-08:00เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม<strong><span style="color: blue;">เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม<br />
<br />
<!-- Main --></span></strong><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span style="color: red;">เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม</span><br />
<span style="color: #444444;">หมายถึงเด็กที่แสดงพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปจากทั่วไป<br />
และพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนนี้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กเองและของผู้อื่นด้วย<br />
พฤติกรรมที่เบี่ยงเบนเป็นผลมาจากความขัดแย้งของเด็กกับสภาพแวดล้อม<br />
หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตัวเด็กเอง ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้<br />
ขาดสัมพันธภาพกับเพื่อนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง<br />
มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน มีความคับข้องใจ<br />
มีความเก็บกดทางอารมณ์โดย แสดงออกทางร่างกาย<br />
ซึ่งบางคนมีความบกพร่องซ้ำซ้อนอย่างเด่นชัด และเกิดเป็นเวลานาน</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><strong><span style="font-size: 18pt;"><span style="color: #444444;"></span></span></strong></div><br />
<div class="MsoNormal"><strong><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18pt;"><span style="color: #4c1130;">การให้ความช่วยเหลือ</span></span></strong><strong><span style="font-size: 18pt;"></span></strong></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม<br />
มีลักษณะของพฤติกรรมที่เป็นปัญหาคือพฤติกรรมก้าวร้าว ก่อกวน<br />
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ<br />
เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก<br />
ส่วนความวิตกกังวล การมีปมด้อย การหนีสังคม และความผิดปกติทางการเรียน<br />
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการขัดแย้งในตัวเด็กเอง<span> </span>การให้ความช่วยเหลือ จึงทำได้หลายรูปแบบ ศาสตราจารย์ ดร.<personname productid="ผดุง อารยะวิญญู" w:st="on">ผดุง อารยะวิญญู</personname> ( 2541 .<br />
105-107 ) ได้เสนอแนะการช่วยเหลือไว้ 3รูปแบบดังนี้</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><strong><span style="color: blue;">1.รูปแบบทางจิตวิทยาการศึกษา</span></strong><span> </span><span style="color: #444444;">นักจิตวิทยาเชื่อว่าองค์ประกอบทางชีววิทยา<br />
และการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กตลอดจนปัญหาทาง</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span style="color: #444444;"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;">อารมณ์ล้วนมีมูลเหตุมาจากพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องทั้งสิ้น<br />
ทางหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ลงได้คือ<br />
ให้เด็กเข้าใจปัญหาของตนเอง และยินดีที่จะหาทางขจัดปัญหานั้นๆ<br />
การช่วยเหลือเด็กนั้นครูจะต้องทำให้เด็กเกิดความเชื่อถือ เกิดศรัทธา<br />
ทำให้เด็กมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาของตน<br />
ดังนั้นการเรียนการสอนจึงควรกระทำเป็นรายบุคคล ควรใช้เกมสถานการณ์จำลอง<br />
และกิจกรรมอื่นที่แตกต่างไปจากที่ใช้กับเด็กปกติ<br />
จึงจะสามารถช่วยเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ</span><span style="font-size: 16pt;"></span></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><strong><span style="color: #990000;">2.รูปแบบทางจิตวิทยา</span></strong><span> </span><span style="color: #444444;">นักจิตวิทยาได้ค้นพบพบหลักการเรียนรู้และการปรับพฤติกรรมของเด็กหลักการปรับพฤติกรรมนี้สามารถนำมาใช้ในการปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้<br />
ตัวอย่างเช่น เด็กอาจจะเรียนรู้โดยการสังเกตพฤติกรรมของเด็กปกติ<br />
โดยยึดพฤติกรรมของเด็กปกติที่ดีเป็นแบบอย่าง<br />
ดังนั้นการปรับพฤติของเด็กจึงควรเน้นและให้ความสนใจพฤติกรรมที่พึงประสงค์เท่านั้น<br />
พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ไม่ควรได้รับความสนใจ<span> </span>ในการช่วยเหลือเด็กนั้นครูหรือนักจิตวิทยาอาจให้แรงเสริมเพื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น<br />
หรืออาจใช้เทคนิคอื่นๆ ในการลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ลง</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><strong><span style="color: #660000;">3.รูปแบบทางนิเวศวิทยา</span></strong><br />
<span style="color: #444444;">นักนิเวศวิทยาเชื่อว่าเด็กเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เด็กเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน<br />
และโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พฤติกรรมของเด็กควรได้รับการยอมรับจากสังคม<span> </span>ในการช่วยเหลือเด็ก<br />
ครูควรทำความเข้าใจกับทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นระบบในสังคม<br />
ทั้งนี้เพื่อหาทางขจัดสิ่งที่เป็นสาเหตุให้เด็กมีปัญหาทางพฤติกรรม<br />
เด็กอาจได้รับการปรับพฤติกรรม แต่นักนิเวศวิทยาเชื่อว่า<br />
นั่นยังไม่เพียงพอควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเด็กเท่าที่จำเป็นด้วย<br />
และรวมไปถึงการปรับปรุงทัศนคติของครู นักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนสมาชิกในชุมชน<br />
เพื่อให้มีความเข้าใจและยอมรับเด็กมากขึ้น การปรับพฤติกรรมมีหลายวิธีดังนี้</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><strong><span style="color: #4c1130;">3.1เสริมแรงทางบวก</span></strong> <span style="color: #444444;">อาจเสริมแรงด้วยวาจา เช่น<br />
ขมเชยเด็กเมื่อเด็กทำเรื่องที่ดีและถูกต้องเป็นต้น ใช้อุปกรณ์เสริมแรง เช่นขนม<br />
ของเล่น ของใช้เป็นต้น ควรใช้อย่างสม่ำเสมอในระยะแรก<br />
เมื่อพฤติกรรมคงที่แล้วควรลดการเสริมแรงโดยเสริแรงเป็นครั้งคราว</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><strong><span style="color: red;">3.2เสริมแรงทางลบ</span></strong> <span style="color: #444444;">เช่นเด็กไม่ส่งการบ้าน ครูดุ ถ้าเด็กส่งการบ้าน ครูเลิกดุ<br />
เด็กก็มีแนวโน้มที่จะส่งการบ้านอีก</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><strong><span style="color: purple;">3.3การแก้ไขให้ถูกต้องเกินกว่าที่ทำผิด</span></strong> <span style="color: #444444;">เป็นการแก้ไขผลการกระทำของเด็ก<br />
และแก้ไขในปริมาณมากกว่าเดิม เช่นเด็กเล่นขว้างปาสิ่งของในห้องสกปรก<br />
ครูใช้เทคนิคปรับพฤติกรรม โดยอาจจะให้เก็บขยะให้เรียบร้อย<br />
และจัดโต๊ะในห้องเรียนให้เรียบร้อยเป็นการลงโทษให้ทำงานเพิ่มมากขึ้น</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span></span><strong><span style="color: orange;">3.4การเป็นแบบอย่างที่ดี</span></strong> <span style="color: #444444;">ครูควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก<span> </span>เด็กอาจยึดครูเป็นแบบอย่างในหลายด้าน เช่น<br />
การพูดจาไพเราะ ขยัน<span> </span>ทำงานเป็นระเบียบ</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<span style="color: #741b47;"><strong><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18pt;">การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมกับเด็กปกติ</span></strong><strong><span style="font-size: 18pt;"></span></strong></span><br />
<br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">การจัดเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม<br />
เข้าเรียนร่วมกับเด็กปกตินั้น ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญดังนี้</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">1.ทัศนคติของเด็กต่อการเรียนร่วม</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">2.ทัศนคติของครู<br />
ผู้ปกครองต่อการเรียนร่วม</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">3.พฤติกรรมของเด็ก<br />
ตลอดจนความรุนแรงของพฤติกรรม</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">4.ความสามารถของเด็กในการควบคุมตนเอง<br />
ตลอดจนทักษะทางสังคมของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคบเพื่อน การเข้ากับคนอื่น</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">5.ความพร้อมของครู<br />
ที่จะรับเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมเข้าเรียนร่วมชั้นปกติ</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">6.ความร่วมมือจากผู้ปกครองในการปรับพฤติกรรมเด็ก</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">7.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><span style="color: #444444;"><br />
</span><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">เด็กที่เรียนร่วมได้อย่างประสบผลสำเร็จนั้น<br />
ควรเป็นเด็กที่ได้รับการปรับพฤติกรรมแล้ว เด็กมีพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติ<br />
หากเด็กยังมีปัญหาทางพฤติกรรมอยู่บ้าง<br />
ต้องได้รับบริการจากสถานศึกษาในด้านบริการแนะแนวและให้คำปรึกษาหรือรับบริการจากครูเสริมวิชาการ</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span style="font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span style="color: #660000;"><strong><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 18pt;">การประเมินผล</span></strong><strong><span style="font-size: 18pt;"></span></strong></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="AR-SA" style="font-family: AngsanaUPC; font-size: 16pt;"><span></span><span style="color: #444444;">การประเมินผล<br />
เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม ฏ็ดำเนินการให้เป็นไปตามวิธีการและเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-43906873274491727742010-12-27T04:36:00.000-08:002010-12-27T04:36:04.101-08:00สื่อที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับเด็กปฐมวัย<strong><span style="color: #ff6600; font-size: medium;">: สื่อที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับเด็กปฐมวัย</span></strong><br />
<div mce_style="TEXT-ALIGN: right" style="text-align: right;"><br />
</div><div mce_style="TEXT-ALIGN: right" style="text-align: right;">ที่มา : บทความจากจุลสารเพื่อนอนุบาล แผนกอนุบาล<br />
ฝ่ายการศึกษา อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ; <br />
อ้างอิงมาจาก สื่อเพื่อพัฒนาเด็กไทยวัยเรียนรู้</div><hr /><div style="text-align: right;"><em> พี่ลูกพีช..</em></div><div style="text-align: justify;"> เมื่อวงการศึกษาของเด็กปฐมวัย กำลังตื่นตัวในการจัดการศึกษา เพื่อรองรับโลกยุคข่าวสารไร้พรมแดน การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย จึงเป็นประเด็นที่พูดกันว่า มีความเหมาะสมอย่างไร เด็กมีความพร้อมทางด้านร่างกาย และสติปัญญาเพียงพอที่จะใช้คอมพิวเตอร์หรือยัง ดังนั้นเพื่อเป็น ข้อมูลสำหรับพิจารณาว่า สื่อคอมพิวเตอร์นั้นจะเป็นสื่อที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับเด็กปฐมวัยจริงหรือ เรามาศึกษาและเรียนรู้แนวความคิดที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ของเด็กๆ ปฐมวัยกันค่ะ</div><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><strong>การใช้คอมพิวเตอร์ของเด็กปฐมวัย</strong></span><br />
<div style="text-align: justify;"> เด็กจะเรียนรู้กิจกรรมจากคอมพิวเตอร์ในเรื่องเกี่ยวกับสัญลักษณ์ เพราะในชีวิตประจำวันเด็กก็ใช้สัญลักษณ์จากการสื่อสารด้วยท่าทาง ภาษาในการเล่น และงานศิลปะอยู่แล้ว จึงเห็นว่า เด็กก่อนวัยเรียนควรได้รับประโยชน์จากการใช้คอมพิวเตอร์ด้วย แต่ยังมีผู้วิตกว่า แนวคิดนี้เป็นการเร่งรัดเด็กหรือไม่ คำตอบประการหนึ่งคือ การใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้เป็นอันตรายเลย แต่เราก็ควรใช้คอมพิวเตอร์ให้เหมาะสมกับเด็กตามระดับความสามารถของเขาเป็นสำคัญ</div><strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;">การเรียนรู้จากคอมพิวเตอร์</span></strong><br />
<div style="text-align: justify;"><strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"></span></strong> ถ้าเด็กเล่นคอมพิวเตอร์ด้วยความรู้สึกสบายใจ มีความเชื่อมั่น และสนุกกับการเล่นแล้ว เด็กจะพัฒนาการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการมี ผู้ใหญ่คอยดูแล สนับสนุน ให้กำลังใจ และรู้จักเลือกโปรแกรมที่เหมาะสมให้เด็ก</div><div style="text-align: justify;"> นอกจากนี้ การจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียน ควรให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นกิจกรรมได้อย่างเสรี โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นมุมหนึ่งของห้องเรียนเช่นเดียวกับมุมไม้บล็อก มุมหนังสือ มุมศิลปะ มุมบ้าน มุมบทบาทสมมติ ฯลฯ จะเอื้อประโยชน์สำหรับการเรียนรู้ได้ดีกว่าการจัดให้เด็กแยกไปเรียนต่างหาก การจัดมุมคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมจะช่วยพัฒนาการทางสังคม เพราะเด็กอาจจะนั่งหน้าจอด้วยกัน พูดคุย ช่วยกันแก้ปัญหา ร่วมกันตัดสินใจ ลองผิดลองถูก อีกทั้งเป็นการพัฒนาสติปัญญาและภาษาได้อย่างดี</div><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><strong>การพัฒนาด้านสังคม อารมณ์ และจิตใจ</strong></span><br />
<div style="text-align: justify;"><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"></span> จากการวิจัยพบว่า เด็กอายุ 4 ขวบ สามารถช่วยอธิบายวิธีการแก้ปัญหาให้เพื่อนได้ และสามารถสาธิตให้เพื่อนดูได้ถูกต้อง และจากการสังเกตพบว่า เด็กได้เลียนแบบวิธีการสอนของครูมาช่วยเหลือเพื่อน ดังนั้นครูควรต้องระวังบทบาทขณะสอนเด็กๆ ให้เหมาะสมด้วย</div><div style="text-align: justify;"> คอมพิวเตอร์จะช่วยพัฒนาเด็กได้มากในเรื่องการใช้ภาษาในการสื่อสารและการเรียนรู้ การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดังนั้นครูอาจช่วยกระตุ้นการทำงานร่วมกัน โดยจัดให้เด็กนั่งเป็นคู่หน้าเครื่อง และชักจูงให้ช่วยกันคิดในการทำงาน โดยไม่ใช่แข่งขันกัน</div><strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;">การพัฒนาด้านทักษะภาษา</span></strong><br />
<div style="text-align: justify;"> ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับการฝึกการท่องจำสำหรับเด็กปฐมวัย จะช่วยเตรียมทักษะการอ่าน เพราะทำให้เด็กจำแนกตัวอักษร จำตัวอักษร และเรียกได้ถูกต้อง ทำให้รู้คำศัพท์มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม โปรแกรมสำหรับเด็กปฐมวัยนั้นได้มีการพัฒนาอยู่เสมอ ไม่ควรให้เด็กได้รับการฝึกแต่ความจำเท่านั้น ผู้ใหญ่ควรเลือกโปรแกรมที่ใช้การสื่อสารสองทางได้ คือ คอมพิวเตอร์พูดได้ สามารถตอบสนองเด็กได้ ร้องเพลงได้ จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้มากขึ้น</div><div style="text-align: justify;"> นอกจากจะมีคอมพิวเตอร์ที่ช่วยเตรียมทักษะด้านการอ่านแล้ว ยังมีโปรแกรมที่ช่วยในเรื่องภาษาเขียนของเด็กด้วย ซึ่งโดยปกติภาษาเขียนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ไม่จูงใจในการสื่อสารสำหรับเด็ก แต่ในปัจจุบันนี้มีโปรแกรม Word Processor ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้การสื่อสารสองทาง เด็กจึงเรียนรู้ที่จะแก้ไขได้ด้วยตนเอง ภาษาเขียนของเด็กจึงได้พัฒนาตั้งแต่เริ่มรู้วิธีเขียนที่ถูกต้อง จนถึงขั้น สื่อสารได้ จึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการเขียน ลดปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อนิ้วมือยังไม่แข็งแรง และลดความกังวลใจว่าจะเขียนผิด ถ้าครู คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองให้การสนับสนุนและดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด</div><strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;">การพัฒนาด้านคณิตศาสตร์ และการแก้ปัญหา</span></strong><br />
<div style="text-align: justify;"> เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้ทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานเกี่ยวกับการจำแนกแยกแยะสี รูปทรง ตัวเลข ตลอดจนรู้จักการเรียงลำดับ มิติสัมพันธ์ โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวกระตุ้นได้ดี</div><div style="text-align: justify;"> โปรแกรมที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย ไม่ใช่เป็นโปรแกรมเกี่ยวกับความจำที่เน้นถูก–ผิด เป็นหลักเท่านั้น แต่ควรเป็นโปรแกรมที่ท้าทายในการแก้ปัญหา โดยให้เด็กสามารถสร้างทางเลือก ตัดสินใจ ที่จะหาวิธีในการแก้ปัญหา ซึ่งจะเป็นการพัฒนาความคิด บทบาทของครูสำหรับเด็ก คือ ครูจะต้องกระตือรือร้นที่จะสนุบสนุนป้อนคำถาม กระตุ้น และสาธิตให้เด็กเกิดความคิด</div><br />
<strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;">ข้อควรคำนึงในการนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับเด็กปฐมวัย</span></strong><br />
<div style="text-align: justify;"> 1) โปรแกรมจะต้องเหมาะสมสำหรับเด็ก การนำโปรแกรมที่ยุ่งยาก ซับซ้อนมาใช้กับเด็ก เพื่อให้เป็นเด็กอัศจรรย์ (Super Kid) เป็นการสร้างควากดดันให้กับเด็กมากกว่าจะเป็นการเสริมสร้างสติปัญญา</div> 2) ควบคุมเวลาในการใช้ เพราะเด็กอาจจะเพลิดเพลิน และถ้าเด็กอยู่ใกล้เกินไปจะเสียสายตา จนถึงขั้นตาเสื่อมได้<br />
<div style="text-align: justify;"> 3) ควรเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ การเล่นคอมพิวเตอร์ ควรใช้จอของเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงจะดีกว่าการเล่นกับจอทีวี เพราะจอคอมพิวเตอร์เป็นจอที่ละเอียดกว่า และมีการกรองแสงด้วย ซึ่งช่วยถนอมสายตาเด็กได้</div><div style="text-align: justify;"> 4) ควรสอนเด็กให้รู้จักวิธีการเปิด–ปิดเครื่องและวิธีการใช้งาน เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย และรู้จักการถนอมเครื่องด้วย</div><div style="text-align: justify;"> การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ประเด็นสำคัญอยู่ที่คุณครู คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง ต้องมีบทบาทสำคัญในการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีความพร้อมทั้งในแง่ความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการสอน และผลที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก และควรตระหนักว่า คอมพิวเตอร์เป็นเพียงสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ไม่ใช่เร่งรัดให้เด็กประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนเกินวัย และไม่ควรนำคอมพิวเตอร์มาใช้เพียงเพื่อเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพราะจะทำให้เด็กในวัยเรียนสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์</div><br />
<hr /><div class="cleared"></div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-23504026900175858352010-12-27T04:21:00.001-08:002010-12-27T04:21:27.215-08:00ชนิดของสื่อการสอน<strong>ชนิดของสื่อการสอน</strong> สื่อการสอนที่ใช้ในการสอนมีหลายชนิดสำหรับเด็กปฐมวัยอาจกล่าวได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องช่วยให้เด็กวัยนี้มีพัฒนาการ นับว่าเป็นสื่อการสอนได้ทั้งสิ้น ได้แก่<br />
1. ครูเป็นสื่อที่นับได้ว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นผู้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในการเรียนรู้และเป็นสื่อที่จะนำสื่ออื่น ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน หากปราศจากครู การเรียนการสอนก็จะไม่มีผลต่อเด็กในวัยนี้อย่างแน่นอน<br />
2. สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ<br />
สื่อชนิดนี้ครูหรือผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจัดหาหรือทำขึ้น เพราะมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแต่ผู้ใช้จะต้องเลือกตามความมุ่งหมาย เช่น การสอนเรื่องวงจรชีวิตกบ ก็ควรเลือกฤดูกาลที่เหมาะสม คือ ฤดูฝน เพื่อจะได้นำสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติมาศึกษาได้ แทนที่จะใช้วิธีวาดภาพไข่กบ ลูกอ็อด และลูกกบ ประกอบคำอธิบาย เป็นต้น <br />
3. สื่อที่ต้องจัดทำขึ้น<br />
สื่อชนิดนี้มีมากมายหลายชนิด สุดแต่ผู้ที่สนใจจะจัดซื้อ จัดหา หรือจัดทำขึ้น ได้แก่ ของจำลอง ภาพถ่าย ภาพวาด เกม วีดีทัศน์ ฯลฯ<br />
นอกเหนือจากนี้ สื่อดังกล่าวอาจแบ่งออกตามลักษณะของการใช้ได้เป็น 3 ประเภทคือ<br />
1. สื่อการสอนประเภทวัสดุ เช่น ภาพ เปลือกหอย ฯลฯ<br />
2. สื่อการสอนประเภทอุปกรณ์ เช่น วิทยุ เครื่องเล่นวีดีโอ เครื่องรับโทรทัศน์ ฯลฯ<br />
3. สื่อการสอนประเภทวิธีการ กระบวนการจัดกิจกรรม เช่น การสาธิต การทดลอง เกม บทบาทสมมติ ฯลฯnomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-30573746100658832692010-12-21T23:42:00.000-08:002010-12-21T23:42:52.966-08:00การเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด<div class="p-head"><h1>การเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด</h1><div class="p-who-date">Posted by: natthamon on: สิงหาคม 7, 2009</div></div><div class="p-det"><ul><li class="p-cat"><span style="color: #999999; font-size: x-small;">In: </span><a href="http://th.wordpress.com/tag/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%a1/" rel="category tag" title="ดูเรื่องทั้งหมดใน การรับประทานนม"><span style="color: #4779ac; font-size: x-small;">การรับประทานนม</span></a><span style="color: #999999; font-size: x-small;"> </span></li>
<li class="p-com"><a href="http://natthamon.wordpress.com/2009/08/07/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%94%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%94/#respond" rel="bookmark" title="Permanent Link to การเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด"><span style="color: #4779ac; font-size: x-small;">Comment!</span></a><span style="color: #999999; font-size: x-small;"> </span></li>
</ul></div><div class="p-con"><script src="http://s0.wp.com/wp-content/plugins/adverts/adsense.js?m=1286669303g&1" type="text/javascript">
</script><a href="http://natthamon.files.wordpress.com/2009/08/01.jpg"><span style="color: #999999; font-size: x-small;"><img alt="01" class="aligncenter size-full wp-image-31" height="280" src="http://natthamon.files.wordpress.com/2009/08/01.jpg?w=420&h=280" title="01" width="420" /></span></a><br />
<br />
ถ้าลูกของคุณมีน้ำหนักมากกว่า 2.5 กิโลกรัมขึ้นไป<br />
ก็เรียกได้ว่าใช้ได้ เพราะเด็กที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2.5 กิโลกรัม<br />
จะถูกจัดอยู่ในประเภท“เด็กไม่ครบกำหนด” (Premature)และต้องดูแลเป็นพิเศษลักษณะของเด็กที่สมบูรณ์แข็งแรงคือ สีผิวสดใสและร้องเสียงดังคุณแม่บางคนอาจสงสัยว่าลูกของคุณจะถ่ายปัสสาวะครั้งแรกเมื่อไรปกติแล้วเด็กจะถ่ายภายใน 24 ชั่วโมงแต่เด็กแข็งแรงดีบางคนอาจไม่ถ่ายภายใน 24 ชั่วโมงก็มี<br />
คุณอาจตกใจเมื่อเห็นปัสสาวะของเด็กมีสีแดงอ่อนคล้ายสีอิฐเนื่องจากเป็นเกลือของกรดยูริก<br />
ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับอุจจาระก็เช่นเดียวกันเด็กจะถ่ายอุจจาระครั้งแรกใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด<br />
อุจจาระจะมีสีเขียวคล้ำหรือสีเทาดำเหนียว ๆ เรียกว่า “ขี้เทา”เด็กแรกเกิดจะร้องบ้างเป็นบางครั้ง<br />
แต่ส่วนใหญ่จะนอนหลับ รูปหัวของเด็กมักจะเบี้ยวบูดเพราะถูกบีบระหว่างผ่านช่องคลอด<br />
โดยเฉพาะลูกคนแรกหรือลูกของหญิงมีอายุหัวมักจะปูดเห็นได้ชัด ลักษณะเช่นนี้จะหายไปเอง<br />
โดยธรรมชาติ ถ้าคุณคลำหัวเด็กตอนบนด้านหน้าอาจตกใจเมื่อพบส่วนที่ไม่มีกะโหลกและนิ่มบุ๋มลงไป<br />
ซึ่งเราเรียกว่า “กระหม่อม”ทั้งนี้เพื่อให้รูปหัวของเด็กเปลี่ยนแปลงได้<br />
ในขณะที่ผ่านช่องคลอดของแม่ใบหน้าของเด็กแรกเกิดจะดูบวมโดยเฉพาะบริเวณเปลือกตา<br />
คุณอาจเห็นเด็กมีขี้ตาติดอยู่เนื่องจากพยาบาลได้หยอดยาฆ่าเชื้อโรคให้<br />
สำหรับเด็กผู้หญิงคุณไม่ต้องกังวลเมื่อเห็นจมูกแบนจมูกจะโด่งขึ้นเมื่อโต<br />
คุณอาจเห็นสายสะดือมีสีคล้ำ ๆ น่าเกลียดอวัยวะเพศของเด็กชายจะดูเหมือนว่าบวม<br />
ของเด็กหญิงก็ดูผิดรูปผิดร่างซึ่งก็จะดีขึ้นเองตามธรรมชาติ<br />
เด็กจะนอนท่าเดียวกับตอนที่อยู่ในท้องแม่ปกติเด็กซึ่งเอาหัวออกก่อน<br />
จะนอนตัวงอเอาคางชิดหน้าอก มือกำงอแขนงอขาเข้าหาตัว<br />
ที่ก้นอาจเห็นมีรอยสีเขียว ๆเรียกว่า “ปานเขียว” (Mongolian Sport)<br />
ซึ่งจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น ตามคอ เปลือกตา จมูกอาจมีไฝสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวหรือถั่วแดง<br />
ซึ่งก็จะหายไปเองภายในหนึ่งปีถึงแม้อากาศจะร้อน<br />
เหงื่อของเด็กแรกเกิดจะยังไม่ออกน้ำลายก็ยังไม่ไหล เพราะท่อขับสิ่งเหล่านี้ยังไม่ทำงาน<br />
ตายังมองไม่เห็น แต่จะได้ยินเสียงดัง ๆถ้าลองปิดประตูดังปังจะสะดุ้งอุณหภูมิร่างกายของเด็กเมื่อแรกเกิดจะเท่ากับของแม่หลังจากนั้นจะลดลงประมาณ 1-3 องศาเซลเซียสและต่อมาอีก 8 ชั่วโมง อุณหภูมิจะขึ้นไปอีก(ราวประมาณ 36.8 – 37.2 องศาเซลเซียส)เด็กจะหายใจประมาณ 34-35 ครั้งต่อนาที<br />
ชีพจรเต้น 120-130 ครั้งต่อนาที</div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-58436840239928385512010-12-17T07:15:00.000-08:002010-12-17T07:15:18.536-08:00ทักษะการสอนศิลปะของเด็กปฐมวัย<strong><span style="color: #ff6600;">ทักษะการสอนศิลปะของเด็กปฐมวัย</span></strong><br />
<div mce_style="TEXT-ALIGN: right" style="text-align: right;"><br />
</div><div mce_style="TEXT-ALIGN: right" style="text-align: right;">ที่มา : บทความจากจุลสารเพื่อนอนุบาล แผนกอนุบาล<br />
ฝ่ายการศึกษา อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ </div><hr /><div mce_style="TEXT-ALIGN: right" style="text-align: right;">ป้าลูกเกด</div><div style="text-align: justify;"> <span style="font-size: small;"><span mce_style="font-size: medium;" style="font-size: small;"><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><strong>ศิลปศึกษา </strong></span></span>เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กในวัยปฐมวัย เพราะประสบการณ์ทางศิลปะนั้น ไม่เพียงส่งเสริมการริเริ่มสร้างสรรค์เท่านั้น หากยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กในลักษณะบูรณาการ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการจัดประสบการณ์และกิจกรรมในลักษณะนี้มีคุณค่าและเอื้อต่อเด็กมากที่สุด ประสบการณ์ศิลปะส่งเสริมพัฒนาการและทักษะของเด็ก ดังนี้</span></div><div style="text-align: justify;"> <strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;">-</span><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"> </span>พัฒนาการทางด้านร่างกาย :</span></strong> พัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก และพัฒนาประสาทสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ</div><div style="text-align: justify;"> <span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><strong>- พัฒนาการทางด้านสังคม :</strong></span> มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้จากกันและกัน (cooperative learning) แลกเปลี่ยนและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การรู้จักแบ่งปัน</div><div style="text-align: justify;"> <strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;">- พัฒนาการทางด้านอารมณ์-จิตใจ :</span></strong> สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง (confidence) เห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเอง (self- esteem) การคิดดีและชื่นชมในผลงานของผู้อื่น สร้างวินัยและความรับผิดชอบ มีสุนทรียภาพ</div><div style="text-align: justify;"> <strong><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;">- พัฒนาการทางด้านสติปัญญา :</span></strong> มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ รู้จักแก้ปัญหา ทำงานแบบมีระบบ (วางแผน ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติ) รู้จักคิดและชี้แจงเหตุผล สังเกต และเปรียบเทียบ ใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุหรือประสบการณ์ในการสื่อความหมาย (ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในพัฒนาการทางด้านการคิดของเด็ก) มีทักษะทางด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ และด้านวิทยาศาสตร์</div><div style="text-align: justify;"> คุณครูเป็นส่วนสำคัญในการจัดประสบการณ์ทางศิลปะที่ส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็ก ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณครูต้องความเข้าใจการจัดกิจกรรมและบทบาทของตน ในการจัดประสบการณ์ศิลปะ</div><div style="text-align: justify;"><span mce_style="color: #ff00ff;" style="color: magenta;"><span mce_style="font-size: medium;" style="font-size: small;"><strong><span style="font-size: small;">คุณครูควร</span></strong></span></span></div><div style="text-align: justify;"> 1.จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ให้พร้อม และพอเพียงต่อความต้องการ ของนักเรียน ในการเตรียมสถานที่นั้น คุณครูควรจัดเนื้อที่ให้นักเรียนทำงานและเคลื่อนไหวได้สะดวก และปลอดภัย อุปกรณ์ที่จัดให้ควรมีเพียงพอต่อนักเรียน เช่น ถ้ามีนักเรียน 5 คนที่วาดรูปด้วยสีโปสเตอร์ คุณครูควรที่จะเตรียมพู่กัน 5 อัน และจัดสี 1 ชุด ต่อนักเรียน 1-2 คน เพื่อที่เด็กจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน และรีบเร่งทำงานเพื่อที่จะแบ่งอุปกรณ์ให้กับเพื่อนที่รออยู่ หากในห้องเรียนมีอุปกรณ์น้อย คุณครูควรที่จะกำหนดจำนวนนักเรียนที่จะเข้าร่วมในกิจกรรม และใช้วิธีผลัดกัน</div><div style="text-align: justify;"> 2.กิจกรรมที่จัดควรเป็นกิจกรรมปลายเปิด เช่น ระบายสีด้วยสีเทียน และสีโปสเตอร์ตามอิสระ เพื่อที่นักเรียนจะได้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ด้วยตนเอง มีอิสระในการสร้างสรรค์ ใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ รู้จักที่จะเลือกและตัดสินใจ (เลือกว่าจะวาดอะไร) และเรียนรู้ที่จะสื่อความคิดตนออกมาในรูปแบบที่ตนต้องการ</div><div style="text-align: justify;"> 3.กิจกรรมที่จัดควรมีความเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ (Developmental Appropriate) ในการจัดกิจกรรม คุณครูควรคำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียน กิจกรรมศิลปะควรมีความเหมาะสมต่อความสามารถของเด็กในวัยนั้น ๆ กิจกรรมบางอย่างถึงแม้ว่าเป็นกิจกรรมศิลปะให้เด็ก แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับเด็กในวัยปฐมวัย เช่น การพับกระดาษเป็นรูปต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ (origami) จัดว่าไม่เหมาะสมสำหรับเด็กในวัยปฐมวัย เนื่องจากมีขั้นตอนหลายขั้นและซับซ้อน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักเรียนต้องทำตามรูปแบบที่กำหนดขั้นโดยดูครูเป็นตัวอย่าง และนักเรียนส่วนมากไม่สามารถทำทุกขั้นตอนได้ด้วยตนเอง และต้องรับความช่วยเหลือจากครูเกือบตลอดเวลา ซึ่งบางทีครูกลายเป็นคนพับเสียเอง การที่นักเรียนส่วนมากต้องการความช่วยเหลือตลอดกิจกรรมนั้น แสดงให้เห็นว่า พัฒนาการของเด็กยังไม่พร้อมที่เขาจะทำงานประเภทนี้ได้ </div><div style="text-align: justify;"> 4.Process not product คุณครูควรเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลงาน ระหว่างที่นักเรียนทำกิจกรรมศิลปะ เขาได้ใช้กระบวนการการคิดต่าง ๆ เพื่อที่จะสื่อความรู้สึกนึกคิดลงบนกระดาษ การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน ผลงานเป็นเพียงผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงาน </div><div style="text-align: justify;"> 5.ตั้งความคาดหวังให้เข้ากับวัยของนักเรียน เป็นเรื่องปกติที่คุณครูจะคาดหวังในนักเรียนของตน หากแต่ความคาดหวังที่ตั้งขึ้นนั้น ควรมีความเหมาะสมกับวัย เช่น เด็กวัย 3 ปี ยังเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มสนใจและเรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์เครื่องเขียนต่าง ๆ กล้ามเนื้อมือนั้นยังไม่ แข็งแรงพอ ที่จะบังคับทิศทางของอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่วแม่นยำ การที่คุณครูคาดหวังให้เด็กในวัยนี้ ระบายสีโดยไม่ออกนอกเส้น หรือวาดรูปเป็นรูปร่างเจาะจงนั้น คุณครูสร้างความคาดหมายที่ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กในวัยนั้น ดังนั้นในการที่ครูจะรู้ว่าจะจัดกิจกรรมอย่างไรให้เหมาะสม ครูต้องมีความเข้าใจและความรู้เรื่องพัฒนาการของผู้เรียนของตน และมีความรู้เรื่องการจัดกิจกรรมศิลปะ เพื่อที่จะตั้งเป้าหมายและความหวังให้เข้ากับผู้เรียน</div><div style="text-align: justify;"> 6.ให้ความสนใจและคุณค่าต่อกระบวนการทำงานและผลงานของนักเรียน ซึ่งทำได้โดย พูดคุยกับนักเรียน และมีการนำเสนอผลงาน การที่คุณครูนำเสนอผลงานของนักเรียน โดยการติดไว้ในที่บอร์ดในห้อง บ่งบอกให้นักเรียนรับรู้ว่า งานของเขามีคุณค่า ซึ่งจะทำให้เขาจะรู้สึกชื่นชมและภูมิใจในความสามารถของตน การพูดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของครูที่มีต่อการทำงานของนักเรียน ซึ่งเฌอเม็คเคอร์ (1986) แนะนำว่าในการสนทนากับเด็ก คุณครูควรให้เด็กพูดและแสดงความคิดเห็นของตนโดยที่ครูไม่ควรที่จะเปรียบเทียบ หรือแก้ไขผลงานของเด็ก และแนะนำว่า เวลาพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับงานศิลปะ ครูควรพูดถึงวิธีการใช้อุปกรณ์ และการใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (elements of art) ในการวาดภาพ เช่น การใช้สี วิธีการวาดลายเส้น รูปทรง การจัดวางช่องว่างและใช้เนื้อที่ (space) เป็นต้น (Schirrmacher, 1986) ตัวอย่าง เช่น “ในภาพนี้ คุณครูสังเกตว่า มีเส้นหลายชนิด มีเส้นตรงข้างบน เส้นโค้งบนมุมขวามือ ...” “หนูใช้ความพยายามมากเลยในการตัดกระดาษให้เป็นสามเหลี่ยมอันเล็ก ๆ” “ครูสังเกตว่าเวลาหนูวางขนแปรงให้แบนบนกระดาษและลากเส้นลงมา เส้นที่ออกมาจะหนา” เป็นต้น การที่ครูพูดถึงงานของเด็กในลักษณะนี้ เป็นการส่งเสริมทักษะทางด้านภาษา และแสดงให้เด็กเห็นว่าตัวครูมีความสนใจในกระบวนการทำงาน และให้คุณค่าต่องานของเขา ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจในตนเอง เชื่อมั่นในความสามารถและทักษะของตน </div><div style="text-align: justify;"> 7.สนทนากับนักเรียน เรื่องการดูแลรักษา การใช้อุปกรณ์ และกติกาในการปฏิบัติกิจกรรม ในระยะเริ่มต้น ก่อนที่จะทำกิจกรรม ครูควรที่จะพูดคุยให้เหตุผลกับนักเรียนเกี่ยวกับการดูแลรักษาอุปกรณ์ เช่น การที่จะให้นักเรียนทำการตัดแปะ ครูอาจจะพูดและสาธิตให้นักเรียนดูว่า เมื่อใช้กรรไกรเสร็จแล้ว ควรเก็บไว้ในตะกร้าเหมือนเดิม หรือใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน เช่น ถ้าครูเห็นนักเรียนเหยียบกรรไกร คุณครูควรอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมไม่ควรเหยียบ และสอนให้นักเรียนรู้จักช่วยกันรักษาสมบัติของห้องเรียน </div><div style="text-align: justify;"> 8.กำหนดเวลาให้เหมาะสม กิจกรรมศิลปะควรจัดให้เป็นกิจกรรมประจำวัน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เด็กให้ความสนใจมาก และเป็นส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน และทักษะทางด้านต่าง ๆ ซึ่งในการจัดกิจกรรม ครูควรตั้งเวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรม การที่ครูตั้งเวลาไว้น้อย และเร่งเด็กให้ทำงานเสร็จภายในเวลาอันสั้นนั้น สิ่งที่สื่อออกมา คือ กระบวนการทำงานนั้นไม่สำคัญเท่าการทำให้เสร็จในเวลา ดังนั้น เด็กก็จะรีบทำงานให้ เสร็จ ๆ ไป และไม่ใส่ใจในการทำงาน เป็นปกติที่เด็กแต่ละคนจะใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมแตกต่างกัน ดังนั้นคุณครูควรมีความยืดหยุ่นในเวลา ถ้านักเรียนทำงานไม่เสร็จ คุณครูอาจจะให้เวลาเพิ่มเติม หรือให้เขาเก็บงานไว้ทำในวันต่อไป</div><div style="text-align: justify;"> 9.ให้นักเรียนมีส่วนร่วม (Students’ Involvement) นักเรียนควรมีส่วนร่วมในการจัดเตรียม และทำความสะอาด เช่น ช่วยหยิบและเก็บกระดาษ และตะกร้าใส่ดินสอสี หรือช่วยเช็ดโต๊ะ เพื่อที่เขาจะได้รู้จักการช่วยเหลือตนเอง และเข้าใจถึงหน้าที่และรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และห้องเรียน </div><div style="text-align: justify;"><br />
<span mce_style="font-size: medium;" style="font-size: small;"><span mce_style="color: #ff0000;" style="color: red;"><strong><span style="font-size: small;">ข้อควรระวังในการจัดประสบการณ์ศิลปะ</span></strong></span></span></div><div style="text-align: justify;"> 1.ให้คะแนน หรือรางวัล เช่น ดาว สติกเกอร์ เป็นต้น การให้คะแนนหรือรางวัลนั้น คุณครูบางท่านอาจจะมองว่า เป็นการสร้างแรงเสริมให้กับเด็ก แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่เด็กจะได้ก็คือ ความไม่กล้าที่จะลองเพราะกลัวว่าออกมาไม่สวย ได้คะแนนไม่ดี ความกลัวว่าผลงานของตนจะไม่ดีพอไม่สวยพอ เปรียบเทียบและแข่งขันกับเพื่อน นอกจากนี้ยังทำให้เด็กคิดว่าการทำงานต้องมีผลทางวัตถุตอบแทน จึงให้ความสนใจที่ผลตอบแทนมากกว่ากระบวนการเรียนรู้ และยังจำกัดความคิดและสร้างสรรค์อย่างอิสระ <br />
เนื่องจากนักเรียนมุ่งหวังที่จะสร้างผลงานให้ถูกใจครู เพื่อที่จะได้รับคะแนนดีหรือรางวัล ซึ่งจริง ๆ แล้วศิลปะนั้นถือว่าเป็นการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดอย่างหนึ่งของแต่ละบุคคล ดังนั้นศิลปะไม่ควรถูกมองว่ามีถูกหรือผิด มีสวยมากหรือสวยน้อย มีดีมากหรือดีน้อย การที่เราให้คะแนน หรือรางวัล ถือว่าเป็นการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อตัดสินความคิด ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวนั้น ไม่มีมาตรฐานเพราะขึ้นอยู่กับความคิดและความพอใจของผู้สอนแต่ละบุคคล จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่ครูจะตัดสินผลงานของเด็กด้วยการให้คะแนน หรือรางวัล </div><div style="text-align: justify;"> 2.ให้นักเรียนระบายสี และตัดแปะกระดาษในกรอบ ศิลปะเป็นการสื่อความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ สื่อสิ่งเหล่านั้นออกมาเป็นรูปธรรม การให้นักเรียนทำงานศิลปะที่มีกรอบกำหนดนั้น (pre-draw) เป็นการจำกัดความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก เนื่องจากรูปถูกกำหนดตายตัวไว้แล้ว นักเรียนไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนตามจินตนาการของตนได้ และต้องทำตามแบบฉบับที่ถูกกำหนดไว้ <br />
ครูควรคำนึงว่า งานศิลปะนั้นเป็นงานที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ไม่ใช่ กิจกรรมที่เน้นความสวยงามในแบบที่ผู้ใหญ่คาดหวังไว้ กิจกรรมศิลปะควรเป็นกิจกรรมปลายเปิดที่ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ และสร้างสรรค์ผลงานตามความรู้สึกของตน</div><div style="text-align: justify;"> 3.ใช้กระดาษที่ตัดเป็นรูปร่างสำเร็จแล้ว การใช้กระดาษที่ตัดเป็นรูปร่างสำเร็จ (pre-cut shapes) ในการตัดแปะนั้น สิ่งที่เด็กจะได้รับก็คือ การรู้จักแปะรูปด้วยกาว และการจัดวางเพื่อให้เกิดความเหมือน กิจกรรมในลักษณะนี้เป็นงานที่จำกัดความคิดสร้างสรรค์ และเน้นเพียงความสวยงามและความเหมือนซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจและความคิดของผู้สอน กิจกรรมไม่ได้สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก ดังนั้นคุณครูควรหลีกเหลี่ยงการตัดกระดาษสำเร็จรูปให้นักเรียน ควรให้นักเรียนฉีก ตัด กระดาษเป็นรูปร่าง ต่าง ๆ ตามความคิดส่วนตัว <br />
<br />
4.วาดรูปเป็นตัวอย่างให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง การที่คุณครูวาดภาพให้เด็กดูเป็นตัวอย่างนั้น ส่งถึงผลเสียมากกว่าผลดี เพราะเป็นธรรมดาที่เด็กนั้นจะชื่นชมผลงานของครู และต้องการที่จะสร้างสรรค์ผลงานให้ได้เหมือนกับของผู้ใหญ่ และเมื่อเขาไม่สามารถทำให้เหมือนได้ เขาก็จะรู้สึกท้อแท้ ผิดหวังในตนเอง และจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีต่อกิจกรรมนั้น ๆ และต่อตนเอง </div><div style="text-align: justify;"> 5.ช่วยแก้ปัญหา โดยการทำให้ เวลาที่นักเรียนวาดอะไรไม่ได้ บางทีคุณครูก็จะช่วยด้วยการทำให้ ซึ่งวิธีนั้นทำให้นักเรียนไม่รู้จักอดทนต่อการแก้ปัญหา และไม่พยายามเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง ถ้านักเรียนวาดรูปไม่ได้ ครูควรพูดแนะนำเพื่อทำให้ขั้นตอนการวาดง่ายขึ้น และใช้คำถามกระตุ้นเพื่อเด็กคิด เช่น “หน้าของหมามีรูปทรงอย่างไง เป็นสี่เหลี่ยม หรือวงกลม และตัวหมาเป็นรูปทรงอะไร ” หรือ ให้แนะนำให้เด็กรู้จักการค้นคว้าและหาข้อมูลรอบตัวในการแก้ปัญหา เช่น “เราลองไปหารูปหมาในหนังสือเป็นตัวอย่างดีไหม บางทีการที่เราได้เห็นรูป ”</div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-51288184973083885382010-12-08T19:45:00.000-08:002010-12-08T19:45:31.181-08:00การเลี้ยงลูกให้ฉลาด<h2><a href="http://women.kapook.com/baby00087/" rel="bookmark" title="Permanent Link: 30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด"><span style="font-family: MS Sans Serif;">30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด</span></a></h2><div class="entry"><pre style="text-align: center;"><a href="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/clever.jpg"><span style="font-family: MS Sans Serif;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5439" height="300" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/clever.jpg" title="clever" width="188" /></span></a></pre><strong><span style="color: #993300;">30 วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก</span></strong><br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><a href="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /></a> 1.ตามองตา</strong> </span></pre>เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครู่ หนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย<br />
<pre><strong><span style="color: #3366ff;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 2.พูดต่อสิลูก</span></strong></pre>เวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซ้ำ ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้ และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้<br />
<pre><strong><span style="color: #00ccff;"><span style="color: blue;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 3.ฉลาดเพราะนมแม่ </span></span></strong></pre><strong><span style="color: #00ccff;"></span></strong>ให้นมแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 4. ทำตลกใส่ลูก</strong> </span></pre>แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 2 วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่างง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ<br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 5.กระจกเงาวิเศษ</strong> </span></pre>ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมาทุกครั้ง<br />
<pre><strong><span style="color: #3366ff;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 6.จั๊กจี้ จั๊กจี้</span></strong></pre>การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น<br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 7.สองภาพที่แตกต่าง</strong> </span></pre>ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้ เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูกต่อไป<br />
<pre><strong><span style="color: #3366ff;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 8.ชมวิวด้วยกัน</span></strong></pre><strong><span style="color: #3366ff;"></span></strong>พาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่น โอ้โหต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมให้ลูกฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก<br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 9.เสียงประหลาด</strong> </span></pre>ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆ เลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะพยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 10.ร้องเพลงแสนหรรษา</strong> </span></pre>สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงต่ำแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิศาสตร์ของลูก<br />
<pre><strong><span style="color: blue;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" />11.มีค่ามากกว่าแค่อาบน้ำ</span></strong></pre>เวลาในการอาบน้ำสอวนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอนคำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 12.อุทิศตัวเป็นของเล่น</strong> </span></pre>ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้น และปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน<br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 13.พาลูกไปช็อปปิ้ง</strong> </span></pre>นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหาย ใบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือ สิ่งบันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 14.ให้ลูกมีส่วนร่วม</strong> </span></pre>พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี่จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น<br />
<pre><strong><span style="color: blue;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจ</span></strong></pre>ช่วยให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่าลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือ แขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับช้า หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 16.ทิชชู่หรรษา</strong> </span></pre>ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั้นเป็นการฝึกประสาทสัมผัสและการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี<br />
<pre><strong><span style="color: blue;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 17.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง</span></strong></pre><strong><span style="color: blue;"></span></strong>การอ่านหนังสือช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมาว่า แม้กระทั่งเด็กอายุ 8 เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังซ้ำ 2-3 ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋</strong> </span></pre>การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก<br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 19.สัมผัสที่แตกต่าง</strong> </span></pre>หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไม้ หรือผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัสเป็นอย่างไร เช่น นี่จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น<br />
<pre><strong><span style="color: #3366ff;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้าง</span></strong></pre><strong><span style="color: #3366ff;"></span></strong>ให้เวลาประมาณ 5-10 นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้าน ไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะคลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง นี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก<br />
<pre><strong><span style="color: blue;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 21.ทำอัลบั้มรูปครอบครัว</span></strong></pre><strong><span style="color: blue;"></span></strong>นำรูปภาพของญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู่ หรือคุณย่าโทรศัพท์มา ก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับที่ให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไปด้วย<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 22.มื้ออาหารแสนสนุก</strong> </span></pre>เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว อย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิด ขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน<br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 23.เด็กชอบทิ้งของ</strong> </span></pre>บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือไม่<br />
<pre><strong><span style="color: #3366ff;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" /> 24.กล่องมายากล</span></strong></pre><strong><span style="color: #3366ff;"></span></strong>หากล่องหรือตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก<br />
<pre><strong><span style="color: blue;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" />25.สร้างอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ</span></strong></pre><strong><span style="color: blue;"></span></strong>กระตุ้นทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างไร<br />
<pre><strong><span style="color: #3366ff;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" />26.เลียนแบบลูกบ้าง</span></strong></pre><strong><span style="color: #3366ff;"></span></strong>เด็กชอบให้พ่อแม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้ หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่ นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์<br />
<pre><span style="color: blue;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" />27.จับใบหน้าที่แปลกไป</strong> </span></pre>ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ<br />
<pre><span style="color: #3366ff;"><strong><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" />28.วางแผนคลานตามกัน</strong> </span></pre>ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้าง เร็วบ้างและหยุดหรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุดต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน<br />
<pre><strong><span style="color: blue;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" />29.เส้นทางแห่งความรู้สึก</span></strong></pre><strong><span style="color: blue;"></span></strong>อุ้มลูกน้อยเดินไปทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น<br />
<pre><strong><span style="color: #3366ff;"><img alt="" class="alignnone size-medium wp-image-5441" height="19" src="http://women.kapook.com/wp-content/uploads/2008/10/41.gif" title="41" width="19" />30.เล่าเรื่องของลูก</span></strong></pre><strong><span style="color: #3366ff;"></span></strong>เลือกนิทานเรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน<br />
ขอขอบคุณข้อมูลจาก</div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-52426647923777092332010-12-02T02:57:00.000-08:002010-12-02T02:57:19.720-08:00ดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย<table class="blog_center_data"><tbody>
<tr><td><br />
<h1 align="center">ดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย</h1><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"> <span lang="TH">กิจกรรมดนตรีที่เหมาะกับเด็ก ได้แก่ กิจกรรมที่ทำร่วมกันเป็นกลุ่ม เช่นการร้องเพลง เล่นเกมประกอบเพลง และบรรเลงเครื่องดนตรีอย่างง่าย เป็นต้น</span> <span lang="TH">เด็กจะสนุกกับกิจกรรมที่เขาได้ออกความคิด ได้เคลื่อนไหว ได้ใช้ภาษา บรรเลงเครื่องดนตรี และร้องเพลง กิจกรรมดนตรีจะเป็นพื้นฐาน ของเด็กในการที่จะพัฒนาการดนตรีของเขาให้ดีขึ้นในอนาคต</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;">เด็กเรียนจบชั้นอนุบาลเขาควรมีความสามารถดังนี้</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>- <span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ใช้เสียงร้องเพลงให้แตกต่างจากเสียงพูด</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>-<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ร้องเพลงได้ชัดเจนไม่เพี้ยน</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>-<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เขารู้จักจังหวะ เร็ว - ช้า พลังเสียง ดัง - เบา</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">การสอนดนตรี</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การสอนดนตรี การศึกษาพัฒนาการเด็กตามองค์ประกอบสามประการของดนตรี ได้แก่ การเคลื่อนไหว การฟัง และการร้องเพลง จะช่วยให้ครูจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมแก่เด็ก <span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การเคลื่อนไหว(</span>Moving) <span lang="TH">เด็กเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่เป็นทารก หรือแม้แต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา เดือนแรกๆ เด็กจะเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อศรีษะก่อน หลังจากนั้นจึงจะเคลื่อนไหวไหล่ แขน ลำตัว และขา การพัฒนาการเคลื่อนไหวก็เริ่มจากกล้ามเนื้อใหญ่ไปกล้ามเนื้อเล็ก การควบคุมการเคลื่อนไหว เริ่มตั้งแต่ส่วนกลางของร่างกาย แล้วขยายออกไป เด็กยกศรีษะได้ก่อนนั่ง ยืนหรือเดิน แล้วพัฒนาถึงขั้นหยิบไม้บล็อกด้วยมือทั้งมือก่อนจะสามารถหยิบด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">คุณค่าดนตรีต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">ผลจากคุณค่าของเสียงดนตรีที่มีต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจของเด็ก นักจิตวิทยาสังคมต่างให้การยอมรับและได้กล่าวถึงคุณค่าของดนตรีไว้ว่า</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> 1. <span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดนตรีก่อให้เกิดความสว่างแก่จิตใจ (</span> Enlightenment) <br />
2. <span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดนตรีก่อให้เกิดความสุข ( </span>Well - Being) <br />
3. <span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดนตรีก่อให้เกิดความผูกพันรักใคร่ ( </span>Affection) </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">ดนตรีเป็นศาสตร์ หรือวิชาที่ทำให้เด็กระดับปฐมวัยได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านของการเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็นความรู้ </span> <span lang="TH">ความจำ สังคม </span> <span lang="TH">ค่านิยม การคิดหาเหตุผล การสร้างสรรค์ การพัฒนากล้ามเนื้อ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า </span> <span lang="TH">การพัฒนาตนเองให้เข้ากับกลุ่ม</span> <span lang="TH">หรือสภาพแวดล้อมของสังคมต่าง ๆ ดนตรีจึงน่าจะเป็นวิชาเดียวเท่านั้นที่ทำให้เด็กสนุกสนานรื่นเริงอย่างเต็มที่</span> <span lang="TH">ทั้งการแสดงออกทางร่างกาย </span> <span lang="TH">ความคิด ตลอดจนพัฒนาการทางจิตใจ อารมณ์ และนอกจากนี้ ดนตรีนอกจากนี้ ดนตรียังสามารถนำไปสัมพันธ์</span> <span lang="TH">เชื่อมโยงหรือบูรณาการ</span> <span lang="TH">กับวิชาการ องค์ความรู้ และกิจกรรมต่าง ๆ แก่เด็กปฐมวัยอย่างสำคัญทีเดียว</span> <span lang="TH">ประการสำคัญดนตรีเป็นตัวจักรสำคัญที่ใช้ในการเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กปฐมวัย ดังนี้</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยเสริมสร้างพัฒนาด้านสุขภาพและพลานามัยของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">การเล่นเครื่องดนตรีหรือการร้องเพลงของเด็กนั้น น่าจะไม่เพียงแต่นั่งร้องหรือขับร้องเท่านั้น แต่เด็กทุกคนชอบ และพอใจที่จะทำท่าทางประกอบไปด้วย เนื่องจากเด็กในระดับปฐมวัยชอบเปลี่ยนอิริยาบทชอบการเคลื่อนไหว กระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะท่วงทำนองของเพลง ดังนั้น เพลงและดนตรีจึงสามารถใช้เป็นสิ่งเร้าเพื่อพัฒนาการเคลื่อน ไหว ทั้งการเคลื่อนไหวแบบอยู่กับที่ การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหวเพื่อดนตรี การเคลื่อนไหวเพื่อนาฎศิลป์ หรือการเต้นรำ รวมทั้งพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก ขน ขา ลำตัว นิ้วมือ และส่วนต่างๆ ของร่างกายตามจังหวะ ดนตรี จะเป็นการช่วยพัฒนาให้เด็กมีร่างกายแข็งแรงและพลานามัยที่สมบูรณ์ อันจะเป็นผลเกี่ยวโยงไปสู่จุดมุ่งหมายทาง การศึกษาที่มุ่งให้เด็กพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะด้านอื่น ๆ ซึ่งจะช่วย ให้เด็กปฐมวัยปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้อย่างมีความสุข</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ - จิตใจของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">เพลงและดนตรีช่วยพัฒนาอารมณ์ของเด็กในแง่การให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน สดชื่น ร่าเริง บางครั้งเด็กปฐมวัยจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง อาจทำให้เด็กเกิดความขัดแย้งหรือสับสน จึงทำให้เด็กมีปัญหาในด้านอารมณ์และจิตใจดนตรีจะสามารถช่วยบรรเทาหรือปรับอารมณ์เด็กได้อย่างดี ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กได้แสดงออกตามความต้องการความรู้สึกและความสามารถ ช่วยถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของเด็ก ช่วยให้เด็กผ่อนคลายความเครียด ดังจะเห็นได้จากการ สังเกตเวลาเด็กร้องเพลงเล่นกัน เด็กจะมีหน้าตายิ้มแย้ม เบิกบาน แม้เด็กบางคนจะมีอารมณ์หงุดหงิด แต่เมื่อได้ร้องรำทำเพลงหรือได้ฟังเพลงสักครู่ก็จะค่อยคลายความไม่สบายใจลง เพราะความไพเราะของเพลง ลีลาและท่วงทำนองเพลงจะช่วยกล่อมอารมณ์ของเด็กให้เพลิดเพลินเป็นปกติได้อย่างดี นอกจากนี้แล้ว ดนตรียังพัฒนาอารมณ์ของเด็ก เกิดความบันเทิงใจ เพลิดเพลิน เกิดจินตนาการกว้างไกล อารมณ์เยือกเย็น สุขุม รักสวยรักงาม เห็นคุณค่าของดนตรี รักในเสียงเพลง เสียงดนตรี จากการสัมผัสดนตรีอยู่ในโลกของดนตรี ไม่เกิดความเหงา เห็นเสียงเพลงเสียงดนตรีเป็นเพื่อน เด็กจะเกิดความนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้น ไม่แข็งกระด้าง ไม่เห็นแก่ตัว มีอารมณ์สุนทรีย์ละเอียดอ่อน การพัฒนาทางอารมณ์ของเด็กจะได้รับการกล่อมเกลาไปทีละเล็กละน้อย จนมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม อันเป็นผลพวงจากดนตรีนั่นเอง</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">เป็นที่ทราบกันดีว่า เด็กปฐมวัยเป็นเด็กที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (</span>Egocentric) <span lang="TH">เด็กจะสนใจตนเองมากกว่า ทำให้เด็กไม่ค่อยคิดถึงผู้อื่น สิ่งที่ควรแก้ไขให้รู้จักเอาใจผู้อื่น แบ่งปันสิ่งของ ร่วมเล่นกับเพื่อน รู้จักช่วยเพื่อน ๆ รู้จักใช้ถ้อยคำและกริยาอย่างเหมาะสม รู้จักรักและชื่นชมและให้อภัยต่อกัน ซึ่งสิ่งดังกล่าวสามารถใช้ดนตรีเป็นสื่อ เพราะดนตรีมีส่วนช่วยโน้มน้าวให้เด็กอยากเรียน อยากเล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน โดยที่ไม่ต้องมีการบังคับแต่ประการใด วิธีหนึ่งที่จะให้เด็กได้พัฒนาด้านสังคม คือ ให้เด็กได้ร่วมร้องเพลงหรือทำกิจกรรมทางดนตรี แสดงบทบาทตามดนตรี จนกระทั่งเด็กเกิดความซาบซึ้งและเห็นคุณค่า เด็กจะพยายามเลียนแบบ ทั้งนี้ ครูและผู้เกี่ยวข้องต้องคอยย้ำและเตือนอยู่เสมอ จนกระทั่งเด็กได้พัฒนาพฤติกรรมทางสังคม เด็กที่ได้รับการพัฒนาทางด้านสังคมโดยใช้ดนตรีเป็นสื่อ ผู้เขียนคิดว่า เด็กจะเรียนรู้ถึงความเป็นไปของสังคมใกล้ตัวและสังคมรอบข้าง เด็กจะเป็นที่รักของสมาชิกและสังคม อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข สามารถปรับ</span> <br />
<span lang="TH">ตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้ รู้จักพูดจา แสดงท่าทางเหมาะแก่กาลเทศะ ทำงานและเล่นกับผู้อื่นได้ดี ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดจากการใช้ดนตรีเป็นสื่อในการพัฒนาสังคมของเด็กปฐมวัยโดยแท้</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">นอกจากนี้ดนตรีทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านสังคม อันเป็นผลจากการที่เสียงดนตรีมีส่วนช่วยในการปรับสภาพอารมณ์ของเด็กให้เกิดความพึงพอใจ และความสุขสบาย ฉะนั้นการที่เด็กได้ฟังเสียงดนตรีที่มีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เด็กจะเกิดความรู้สึกอบอุ่น มีความไว้วางใจในสิ่งแวดล้อม มีความสุขในการเรียน การทำงาน และสามารถที่จะปรับตัวในลักษณะที่เหมาะสมเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น จะสังเกตได้จากพฤติกรรมการแสดงออก ซึ่งเด็กจะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดี มีความสามัคคีร่วมมือในการทำกิจกรรม ซึ่งส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้เป็น อย่างดียิ่ง</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"> <span lang="TH">ดนตรีจะช่วยสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจ และมโนคติกับเด็กในเรื่องต่าง ๆ เช่น ธรรมชาติศึกษา คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา ฯลฯ และเป็นการช่วยที่เด็กพอใจ เด็กเข้าใจและจดจำได้เอง โดยไม่ต้องมีการบังคับ เช่น บทเพลงที่เกี่ยวกับลม ฝน แมลง นก ขณะที่เด็กร้องเพลงและทำท่าเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ อาทิ ลีลาเลียนแบบท่าทางของสัตว์ ท่าทางของคน ลีลาเลียนแบบการเคลื่อนไหวของเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น ลีลา เลียนแบบปรากฎการณ์ธรรมชาติ หรือลีลาตามจินตนการ ซึ่งเด็กจะมีความเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เพิ่มขึ้น หรือในขณะที่เด็กร้องเพลงนับกระต่าย นับลูกแมว นับนิ้ว เด็กก็จะได้รับความคิดในเรื่องการเพิ่ม - ลดของจำนวน การเรียงลำดับที่ ฯลฯ ซึ่งพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยจะเจริญงอกงามโดยอาศัยกิจกรรม</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมทางดนตรีนับเป็นกิจกรรมที่มี ความสำคัญยิ่ง</span> </span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">ดนตรีเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญและเป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย เพราะดนตรีเป็นสิ่งเร่งที่จะช่วยจูงใจให้เด็กเกิดความสบายใจ และมีความรู้สึกในทางที่ดี ซึ่งเป็นการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความน่าสนใจ ทำให้เด็กเกิดความตื่นตัวในการเรียนรู้ อันส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาทางสติปัญญาเป็นอย่างดี</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">ประการสำคัญ ดนตรีจัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ต่อการพัฒนาทางสติปัญญา โดยเฉพาะด้านสมาธิ เนื่องจากดนตรีช่วยทำให้เด็กเกิดสมาธิในการทำกิจกรรมและสามารถทำงานได้นานขึ้น ทั้งนี้เพราะเสียงดนตรี นับเป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยปรับสภาพอารมณ์และช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดสมาธิ สามารถสร้างระเบียบและควบคุมตนเองให้เหมาะสมและไม่เกิดความเครียดจนต้องหยุดชะงักการทำงาน ในขณะที่เด็กทำกิจกรรมสร้าง สรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อมีดนตรีเปิดเบา ๆ เด็กจะมีความพึงพอใจในการทำกิจกรรมท่ามกลางบรรยากาศที่มีเสียงเพลง และมีความตั้งใจพยายามทำกิจกรรม อีกทั้งยังพบว่าระยะเวลาในการทำกิจกรรมแต่ละประเภทจะยาวนานขึ้น นอกจากนี้เสียงดนตรียิ่งทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ และมีจินตนาการในขณะทำกิจกรรมได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยดังนี้</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">จากการทดลองของ เลิศ อานันทนะ ( </span>2518 : 219) <span lang="TH">พบว่า เสียงดนตรีสามรถเสริมสร้างความคิดจินตนาการ ช่วยกระตุ้นให้มีการแสดงออกในทางสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ระหว่างประสาทหู กล้ามเนื้อมือ ให้สอดคล้องกับการใช้ความคิด</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">ฉะนั้น ดนตรีจึงเป็นสื่อกลางของเด็กปฐมวัยในการพัฒนาศักยภาพ คุณค่าทางสมองและสติปัญญา เพราะดนตรีเป็นเรื่องของโสตศิลป์ที่จะพาเด็กไปสู่การรับรู้และเรียนรู้เรื่องของศาสตร์วิทยาการ ต่าง ๆ ตลอดจนความงามอย่างมีสุนทรีย์ ในที่สุดเด็กก็มีการพัฒนาการทางสติปัญญาสูงขึ้น มีคุณภาพและประสิทธิภาพนั่นเอง</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"> <span lang="TH">ดนตรีช่วยให้เด็กรู้จักฟังและแยกความแตกต่างของระดับเสียง สูง ต่ำ ดัง ค่อย หนัก เบา แหลม ทุ้ม รู้จักแยกอัตราจังหวะ ช้า ปานกลาง เร็ว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการฟังคำพูดที่ประกอบไปด้วยเสียงหนัก - เบา และเสียงวรรณยุกต์ทางภาษาที่แตกต่างกัน ดนตรีจะช่วยพัฒนาทักษะทางด้านต่าง ๆ อาทิ การเขียน การพูด การอ่านออกเสียงของเด็ก เพราะในขณะที่เด็กร้องเพลง เด็กจะต้องรู้จักควบคุมการหายใจ รู้จักควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูด รู้จักจังหวะ</span> <br />
<span lang="TH">ของคำพูด รู้จักรูปประโยคที่ถูกต้อง และเด็กจะชอบเล่นกับคำพูด ซึ่งเป็นบทคล้องจองที่อยู่ในเพลงนั้น เนื่องจากเพลงทุกเพลงจะต้องมีเนื้อร้องที่สัมผัสกัน เช่น นกเอยนกน้อยน้อย เจ้าค่อยค่อยเคลื่อนคล้อยมา คำว่าน้อยสัมผัสกับค่อย ลักษณะของคำที่คล้องจองกันเช่นนี้ ทำให้เด็กสามารถจำเพลงได้ง่ายขึ้น สิ่งต่าง ๆ ดังที่ผู้เขียนกล่าวมาจะยังประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะด้านภาษาให้กับเด็กปฐมวัยได้เป็นอย่างดี </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;">ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีของเด็กปฐมวัย </span></span></b></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">สิ่งที่พึงปรารถนาของทุกฝ่ายและทุกสังคม คือ การให้ลูกหลานมีลักษณะนิสัยที่ดีในการที่จะปลูกฝังและส่งเสริมพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดีให้แก่เด็กปฐมวัยนั้น เราสามารถใช้เพลงหรือดนตรีช่วยได้เป็นอย่างมาก ถ้าเลือกเพลงได้เหมาะสม ในปัจจุบันนี้มีบทเพลงสำหรับเด็กมากมายซึ่งมีส่วนช่วยสร้างเสริมลักษณะนิสัยที่ดีให้กับเด็ก จากการทดลองจัดทำเพลงสำหรับเด็กปฐมวัย ว่าด้วยเพลงเกี่ยวกับกริยามารยาท การรักษาความสะอาด เพลงเกี่ยวกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพลงเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย ความสามัคคี ฯลฯ ซึ่งได้นำมาใช้สอนนักเรียนระดับปฐมวัย ปรากฏว่านักเรียนสนุกสนาน ให้ความสนใจเป็นอย่างดี เด็ก ๆ ที่ชอบทิ้งขยะไม่เป็นที่ หรือเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บเข้าที่ ก็จะใช้เพลง </span>“ <span lang="TH">อย่าทิ้งต้องเก็บ </span>” <span lang="TH">มาร้องให้เด็กฟังและสอนให้เด็กร้องตาม ปรากฎว่าเด็ก ๆ ปฏิบัติตามเพลงเป็นอย่างดี</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยสร้างเสริมพัฒนาด้านระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียงแก่เด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">ดนตรีสามารถเป็นสื่อที่จะให้เด็กรักษาระเบียบวินัยและความพร้อมเพรียง โดยวิธีนี้เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย ซึ่งจะทำให้ครู - อาจารย์ ผู้เกี่ยวข้องไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อย หรือ เคี่ยวเข็ญบังคับ เช่น การใช้สัญญาณที่เป็นเสียงเพลงหรือดนตรีกับเด็กว่า ถ้าได้ยินเสียงสัญญาณนี้ทุกคนจะต้องมาเข้าแถว สัญญาณเสียงนี้ทุกคนจะต้องหยุดเล่น สัญญาณนอน สัญญาณรับประทานอาหาร สัญญาณดื่มน้ำ ฯลฯ ซึ่งอาจใช้สัญญาณเสียงที่เป็นเสียงดนตรีง่าย ๆ เช่น นกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เสียงกลอง เสียงกรับ เสียงฉิ่ง - ฉับ เสียงกระดิ่งสั่น เป็นจังหวะหรือเสียงเพลงใดเพลงหนึ่ง ซึ่งถ้าเด็กเข้าใจและเคยชินกับสัญญาณเสียงทางดนตรีเหล่านี้ เด็กจะปฏิบัติทุกอย่างได้ดีมีความพร้อมเพรียงกัน โดยที่ครูหรือผู้อ่านเองไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการที่จะต้องคอยตะโกนบอกเด็กอยู่ทุกระยะ ฉะนั้นดนตรีจึงเป็นสื่อสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีส่วนช่วยพัฒนาระเบียบวินัย รวมถึงความพร้อมเพรียงของเด็กปฐมวัยได้อีกทางหนึ่ง</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยในการปลูกฝังความรักชาติบ้านเมืองของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">การปลูกฝังให้เด็กเกิดความรักชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแรกอยู่ในกิจกรรมต่าง ๆ สิ่งที่จะเป็นสื่อที่ดีที่สุด คือ การใช้เพลงหรือดนตรี ทำนองและจังหวะต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยกระตุ้น ส่งเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงที่มีจังหวะเร้าใจ คึกคัก สนุกสนาน มีความหมายที่เกี่ยวกับความรักชาติ ความเสียสละเพื่อชาติของวีรชนบรรพบุรุษ ตลอดจนตัวอย่างที่ดีงามของผู้เสียสละ จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กเห็นคุณค่าและความสำคัญของประเทศชาติ เห็นความสำคัญของบรรพบุรุษที่ได้ช่วยกันป้องกันประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวปลูกฝังแทรกซึมความรักชาติบ้านเมือง ความภาคภูมิใจในถิ่นกำเนิดต่อไปในอนาคต โดยการใช้ดนตรีเป็นสื่อนำทางได้เป็นอย่างดี</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">เพลงและดนตรีจะช่วยลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาบางอย่างของเด็กปฐมวัย เช่น เด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เด็กที่ขี้อาย มีความก้าวร้าว ฯลฯ เราสามารถนำกิจกรรมทางดนตรีเข้ามาช่วยปรับ หรือแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้เป็นอย่างดี</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการนำกิจกรรมทางดนตรีมาสร้างสรรค์ บรรณาการ และประยุกต์ใช้เป็นสื่อในการพัฒนาการและช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของเด็ก จากประสบการณ์ผู้เขียนคิดว่าเด็กในระดับปฐมวัยจะมีปัญหา ข้อบกพร่องและความพิการด้านต่าง ๆ แตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาข้อบกพร่องและความพิการทุกอย่างสามารถที่จะนำกิจกรรมทางดนตรีเข้าบำบัดแก้ไขได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสนใจต่ำ เด็กที่มีสมาธิสั้น เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด มีปัญหาเกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว การปรับตัว ความคิดและจินตนาการ สายตา การอยู่ร่วมกัน การรักษาหรือลักษณะของต่าง ๆ ความซาบซึ้ง ความสามารถ ระดับความสมหวัง ประการที่สำคัญดนตรีสามารถนำไปใช้บำบัดการที่เด็กพิการ ทั้งด้านการพูด ตา หู ร่างกาย สมอง หรือแม้กระทั่งเด็กที่มีปัญหาหรือความบกพร่องทางอารมณ์ ซึ่งผู้ที่นำกิจกรรมทางดนตรีมาใช้เชื่อกันว่า อิทธิพลหรืออำนาจของเสียงเพลงหรือดนตรีจะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ คุณค่าและเกิดอารมณ์แก่เด็กในการที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ในตัวเด็กได้</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">ประการสำคัญในการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ดนตรีสามารถนำมาปรับพฤติกรรม หรือเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งนักวิชาการทางดนตรี เรียกกันว่าดนตรีบำบัด อันเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่มีประโยชน์มหาศาลต่อเด็กโดยการประยุกต์กิจกรรมทางดนตรีหรือเพลงที่เลือกสรรเป็นอย่างดีมาใช้กับเด็ก โดยมุ่งที่จะให้กิจกรรมทางดนตรีเป็นตัวช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติ ความบกพร่องของเด็กในระหว่างที่มารับการบำบัดหรือศึกษาฟื้นฟู พัฒนาสมรรถภาพ ซึ่งเด็กเหล่านี้อาจเป็นเด็กปัญญาเลิศ เด็กที่มีปัญหาทางการอ่าน เด็กปัญญาอ่อน เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เด็กที่มีความบกพร่องด้านต่าง ๆ เด็กพิการ หรือเด็กพิเศษ ฯลฯ โดยการบำบัดด้วยดนตรีเป็นการเริ่มที่ตัวเด็กไม่ได้เริ่มจากดนตรี โดยการใช้เด็กเป็นศูนย์กลางของการบำบัด นักดนตรี นักดนตรีบำบัดจะวินิจฉัยปัญหาของเด็ก แล้วจึงวางแผนจัดกิจกรรมทางดนตรีให้สอดคล้องกับความต้องการ ความบกพร่องหรือปัญหาของเด็กแต่ละคนเป็นราย ๆ ไป การบำบัดด้วยดนตรีของเด็กพิเศษเหล่านี้ อาจทำเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้เด็กมีพัฒนาการที่พึงประสงค์ สิ่งสำคัญของการบำบัดดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย จะเน้นการบำบัดดนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งจะเริ่มที่ปัญหาและสภาพข้อบกพร่อง ความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคนๆ การบำบัดด้วยดนตรีนี้มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการบำบัดรักษาด้วยวิธีการหรือเครื่องมืออื่นๆ โดยมุ่งที่จะใช้กิจกรรมทางดนตรีเป็นสื่อกระตุ้นหรือเร้าให้เด็กได้มีพัฒนาการ ประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งยังส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรมใหม่ อันเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ เป็นสิ่งปกติในชีวิตและวัยของเด็กแต่ละช่วงให้คงอยู่แลพัฒนาการต่อไป</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH">ดนตรีเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย</span> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">วิธีการหรือสื่อหนึ่ง ที่จะมีส่วนทำให้เด็กในระดับปฐมวัยเกิดความสนใจ สนุกสนาน เห็นคุณค่าตั้งใจและติดตามการเรียนการสอนวิชาอื่น ๆ ในหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นสาระเนื้อหาตามแผนการจัดประสบการณ์ ทั้งกิจกรรมที่ปรากฎในตารางกิจกรรมประจำวันอันประกอบด้วย การเคลื่อนไหวและจังหวะกิจกรรมสร้างสรรค์ (ศิลปศึกษา) การเล่นตามมุม กิจกรรมในวงกลม การเล่นกลางแจ้ง เกมการศึกษา กิจกรรมที่ไม่ปรากฎในตารางกิจกรรมประจำวัน อาทิ การเล่านิทานการร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง การจัดทัศนศึกษา การปฏิบัติการทดลอง การเตรียมเด็กให้สงบ ( การเก็บเด็ก) รวมทั้งแผนการจัดประสบการณ์ทั้ง </span>16 <span lang="TH">สัปดาห์ ในระดับปฐมวัยศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ( กระทรวงศึกษาธิการ. </span>2536 : 335 <span lang="TH">หน้า) ซึ่งเราสามารถนำกิจกรรมดนตรี เข้าแทรกหรือบูรณาการแผนการจัดประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">การนำดนตรีมาใช้เป็นส่วนประกอบในกิจกรรมการเรียนการสอน บทประพันธ์เพลงที่มีความไพเราะ มีรูปแบบทำนองลีลาสมบูรณ์ จะให้ความซาบซึ้งและดำรงไว้ซึ่งคุณค่าทางอารมณ์ สามารถจินตนาการเป็นภาพที่มีความหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่เด็กในแง่ที่จะพัฒนาจิตใจให้ละเอียดอ่อน ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ เรื่องของการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนวิชาดนตรีหรือวิชาอื่น ๆ ก็ตาม การเรียนรู้ที่สมบูรณ์นั้น ควรจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันได้ในรายวิชาต่าง</span> <br />
<span lang="TH">ๆ ปกติคนเราจะมีพื้นฐานดนตรีประทับในใจอยู่แล้วเป็นทุน จากสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ ดังนั้น จึงสามารถใช้ดนตรีเป็นสื่อเชื่อมโยงได้ โครงสร้างของวิชาดนตรีกับวิชาอื่น ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกัน จะเป็นส่วนช่วยให้สามารถจัดระบบที่เหมาะสม</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> <span lang="TH">การนำกิจกรรมดนตรีมาใช้ประกอบการเรียนการสอนให้สัมพันธ์กับบทเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เด็กเรียนด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่ายวิชาที่เรียน เพราะเป็นการได้รับความรู้จากบทเรียน คละเคล้าไปกับการเล่นโดยไม่รู้ตัว และจะช่วยส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ความจำของเด็กได้ดีขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้ดนตรีอาจทำได้ดังนี้</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> 1. <span lang="TH">ใช้ดนตรีเป็นเนื้อหาในการเรียนแล้วโยงไปหาวิชาอื่น ๆ เช่น ถ้าเพลงใดมีเนื้อหาที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ สมบูรณ์ในตัว ก็นำเพลงนั้นมาให้เด็กร้องและอธิบายข้อความตามเนื้อเพลง แล้วจึงโยงไปถึงการเล่น การเล่าเรื่อง การเล่นนิทาน การฝึกทักษะด้านอื่น ๆ</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> 2. <span lang="TH">ใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบให้สัมพันธ์กับบทเรียน คือ เรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วนำเพลงที่สัมพันธ์กับบทเรียนเข้ามาแทรก ซึ่งการแทรกนี้อาจทำได้หลายทาง เช่น ใช้ดนตรีเป็นการนำบทเรียน เพื่อที่จะเร้าให้เด็กเกิดความสนใจและกระตือรือร้นอยากที่จะเรียน ควรใช้เพลงที่เกี่ยวกับการให้เด็กคิดหรือให้ทาย เป็นต้นใช้ดนตรีแทรกตอนกลางบทเรียน บางครั้งบทเรียนที่ค่อนข้างยาวเกินไป อาจทำให้เด็กเบื่อและมีสมาธิสั้น อาจใช้เพลงแทรกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อให้ เด็กเรียนด้วยความสนุกสนานยิ่งขึ้น ซึ่งเพลงที่จะนำมาร้องแทรกตอนกลางของบทเรียนนี้ ควรเป็นเพลงที่เด็กร้องเป็นมาก่อน หรือเคยได้ฟังมาบ้างและเป็นเพลงที่ร้องง่าย ๆ ฉะนั้น ครูจะต้องเริ่มสอนร้องเพลงใหม่ ทำให้ความสนใจของเด็กมาอยู่ที่ดนตรีหมด โดยที่ยังสอนบทเรียนไม่จบ นอกจากนี้ การนำดนตรีมาแทรกในบทเรียนยังช่วยได้มากในกรณีที่ครูต้องการเน้นเนื้อหาให้เด็กเข้าใจ และเห็นความสำคัญยิ่งขึ้น</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;"> 3. <span lang="TH">ใช้ดนตรีหรือเพลงร้องภายหลังบทเรียน ซึ่งเป็นการทบทวนบทเรียนไปด้วย เช่น เมื่อเด็กเรียนธรรมชาติศึกษาเรื่องสัตว์ต่าง ๆ ได้หัดฟังและเลียนสียงร้องของสัตว์และชนิดของสัตว์ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้ว เพื่อเป็นการทบทวนความจำให้แม่นยำยิ่งขึ้นว่าสัตว์ใดร้องอย่างใด ก็นำกิจกรรมทางดนตรีมาให้เด็กร้องหรือเล่นเป็นการสรุปบทเรียนได้อีกทางหนึ่ง</span> </span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH"><span style="font-family: Angsana New; font-size: large;">การนำกิจกรรมทางดนตรีมาประกอบการเรียนการสอนเพื่อเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย สามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงรายวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศึกษา ธรรมชาติ ฯลฯ การใช้ดนตรีเข้าช่วยจะทำให้เด็กเกิดความสุกสนาน สร้างเสริมคุณค่าและพัฒนาการทางอารมณ์ สามารถอำนวยประโยชน์ในกิจกรรมการเรียนการสอน และเป็นประโยชน์สำหรับเด็กปฐมวัยและผู้เกี่ยวข้อง</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><b><span lang="TH">ดนตรีกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย</span></b><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><b><span lang="TH"></span></b></span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง </span>5 <span lang="TH">ครึ่ง </span>6 <span lang="TH">ปี ถึง </span>6 <span lang="TH">ปี เด็กในช่วงวัยนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นพัฒนารากฐานทางสมอง ให้มีศักยภาพสูงสุด ถือเป็นโอกาสทองที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้ เพื่อให้พวกเขามีความเจริญเติบโตทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช </span>2546 <span lang="TH">มุ่งส่งเสริมให้เด็กที่มีอายุแรกเกิดถึง </span>5 <span lang="TH">ปี มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย เด็กอายุ </span>3-5 <span lang="TH">ปี ให้มีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ </span>10 <span lang="TH">ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช </span>2546 <span lang="TH">หลักสูตรเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการศึกษาและเป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์แก่ผู้เรียน โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่เป็นมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย ดังนี้ <span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>1.<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>2.<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>กล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ประสานสัมพันธ์กัน </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>3.<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีสุขภาพจิตที่ดีและมีความสุข </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>4. <span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีคุณธรรมและจริยธรรม </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>5.<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกำลังกาย </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>6.<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะกับวัย </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>7.<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม </span>8.<span lang="TH">อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>9.<span lang="TH"> ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะกับวัย </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>10.<span lang="TH"> มีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>11.<span lang="TH"> มีจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์ </span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span>12.<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการแสวงหาความรู้</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมีการนำกิจกรรมทางดนตรีมาสร้างสรรค์ บรรณาการและประยุกต์ใช้เป็นสื่อในการพัฒนาการและช่วยแก้ ไขข้อบกพร่องของเด็ก จากประสบการณ์ผู้เขียนคิดว่าเด็กในระดับปฐมวัยจะมีปัญหา ข้อบกพร่องและความพิการด้านต่างๆแตกต่างกันไป ซึ่งข้อบกพร่องและความพิการทุกอย่างสามารถที่จะนำกิจกรรมทางดนตรีเข้ามาบำบัด แก้ไขได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสนใจต่ำ เด็กที่มีสมาธิสั้น เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูด ปัญหาทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การปรับตัว ความคิดและจินตนาการ สายตา การอยู่ร่วมกัน ความสามารถ ประการสำคัญดนตรีสามารถนำไปใช้บำบัดเด็กพิการด้านการพูด ตา หู ร่างกาย สมองหรือแม้กระทั่งเด็กที่มีปัญหาหรือความบกพร่องทางอารมณ์ ซึ่งผู้ที่นำกิจกรรมทางดนตรีมาใช้เชื่อว่าอิทธิพลหรืออำนาจของเสียงบทเพลงหรือดนตรี สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ คุณค่าและเกิดอารมณ์แก่เด็กในการที่จะแก้ปัญหาต่างๆในตัวเด็กได้</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>ประการสำคัญในการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ดนตรีสามารถนำมาปรับพฤติกรรมหรือเสริมการเรียนรู้ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งนักวิชาการทางดนตรี เรียกว่า ดนตรีบำบัด อันเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่มีประโยชน์มหาศาลต่อเด็ก โดยการประยุกต์กิจกรรมทางดนตรีเป็นตัวช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆของเด็ก ช่วยแก้ไขความผิดปกติ ความบกพร่องของเด็ก ในระหว่างการมารับการบำบัดหรือฟื้นฟู พัฒนาสมรรถภาพ ซึ่งเด็กเหล่านี้อาจเป็นเด็กปัญญาเลิศ เด็กที่มีปัญหาทางการอ่าน เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เด็กที่มีปัญหาทางอารมณ์ เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านต่างๆ เด็กพิการหรือเด็กพิการซ้อน โดยการบำบัดด้วยดนตรีเป็นการเริ่มที่ตัวเด็กไม่ใช่ดนตรี โดยการใช้เด็กเป็นศูนย์กลางของการบำบัด นักดนตรี นักดนตรีบำบัด จะวินิจฉัยปัญหาของเด็ก แล้วจึงวางแผนจัดกิจกรรมทางดนตรี ให้สอดคล้องกับความต้องการ ความบกพร่องหรือปัญหาของเด็กแต่ละคนเป็นรายๆไป การบำบัดด้วยดนตรีของเด็กพิเศษเหล่านี้ อาจทำเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่พึงประสงค์ สิ่งสำคัญของการบำบัดดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย จะเป็นการบำบัดเป็นรายบุคคล ซึ่งจะเริ่มที่ปัญหาและสภาพข้อบกพร่อง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ความต้องการพิเศษของเด็กแต่ละคน การบำบัดด้วยดนตรีนี้มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการบัดรักษาด้วยวิธีการหรือเครื่องมืออื่นๆ โดยมุ่งที่จะใช้กิจกรรมทางดนตรี เป็นสิ่งกระตุ้นให้เด็กได้มีพัฒนาการ ประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมต่างๆ ทั้งยังส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรมใหม่ อันเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ เป็นสิ่งปกติในชีวิตและวัยของเด็กแต่ละชีวิตให้คงอยู่และพัฒนาการต่อไป</span></span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>การนำกิจกรรมดนตรีมาใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนให้สัมพันธ์กับบทเรียนสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กเรียนด้วยความสนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่ายวิชาที่เรียนเพราะเป็นการได้รับความรู้จากบทเรียน คละเคล้าไปกับการเล่น โดยไม่รู้ตัว และจะช่วยส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ ความจำของเด็กได้ดีขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนที่ใช้ดนตรีอาจทำได้ดังนี้</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span>1. <span lang="TH">ใช้ดนตรีเป็นเนื้อหาในการเรียนแล้วโยงไปหาวิชาอื่นๆ เช่น ถ้าเพลงใดมีเนื้อหาที่บอกเรื่องราวต่างๆ สมบูรณ์ในตัว ก็นำเพลงนั้นมาให้เด็กร้องและอธิบายข้อความตามเนื้อเพลง แล้วจึงโยงไปถึงการเล่น การเล่าเรื่อง การเล่านิทาน การฝึกทักษะด้านต่างๆ</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span>2. <span lang="TH">ใช้ดนตรีเป็นสื่อประกอบให้สัมพันธ์กับบทเรียน คือ เรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วนำเพลงที่สัมพันธ์กับบทเรียนเข้ามาแทรก ซึ่งการแทรกนี้อาจทำได้หลายทาง เช่น ใช้ดนตรีเป็นการนำเข้าสู่บทเรียนเพื่อที่จะเร้าให้เด็กเกิดความสนใจและกระตือรือร้นอยากที่จะเรียน ควรใช้เพลงที่เกี่ยวกับการให้เด็กเกิดความคิดหรือให้ทายเป็นต้น ใช้ดนตรีแทรกตอนกลางบทเรียน บางครั้งบทเรียนที่ค่อนข้างยาวเกินไป อาจทำให้เด็กเบื่อและมีสมาธิสั้น อาจใช้เพลง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>แทรกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และเพื่อให้เด็กเรียนด้วยความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นครูจะต้องเริ่มสอนร้องเพลงใหม่ ทำให้ความสนใจของเด็กมาอยู่ที่ดนตรี การนำดนตรีมาแทรกในบทเรียนยังช่วยได้มากในกรณีที่ครูต้องการเน้นเนื้อหาให้เด็กเข้าใจและเกินความสำคัญยิ่งขึ้น</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-tab-count: 2;"> </span></span>3. <span lang="TH">ใช้ดนตรีหรือเพลงร้องหลังบทเรียน ซึ่งเป็นการทบทวนบทเรียนไปด้วย เช่น เมื่อเด็กเรียนธรรมชาติศึกษาเรื่องสัตว์ต่างๆ ให้หัดฟังและเลียนเลียนเสียงร้องของสัตว์และชนิดของสัตว์ซึ่งแตกต่างกันไปแล้ว เพื่อเป็นการทบทวนความจำให้แม่นยำยิ่งขึ้นว่าสัตว์ใดร้องอย่างไร ก็นำกิจกรรมทางดนตรีมาให้เด็กร้องหรือเล่นเป็นการสรุปบทเรียนได้อีกทางหนึ่ง</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span lang="TH">การนำกิจกรรมทางดนตรีมาประกอบการเรียนการสอนเพื่อเป็นสื่อสร้างเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย สามารถสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยงราชวิชาต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาษา สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศึกษา ธรรมชาติ ฯลฯ การใช้ดนตรีเข้าช่วยจะทำให้เด็กเกิดความสนุกสนาน สร้างเสริมคุณค่าและพัฒนาการทางอารมณ์ สามารถอำนวยประโยชน์ในกิจกรรมการเรียนการสอนและเป็นประโยชน์สำหรับเด็กปฐมวัยและผู้เกี่ยวข้อง</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><span lang="TH"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span lang="TH"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH"><a href="http://teacher.snru.ac.th/yongyote/admin/document/userfiles/กิจกรรมดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย.doc"><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><b>ความรู้และความเข้าใจทางดนตรี</b><b><span lang="EN-US"> </span></b></span></span></span></a></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span class="MsoHyperlink"><span lang="TH"><a href="http://teacher.snru.ac.th/yongyote/admin/document/userfiles/กิจกรรมดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย.doc"><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดนตรีมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับเด็กตั้งแต่แรกเกิด จนเมื่อเติบโตขึ้นถึงวัยเข้าเรียนในระหว่างที่อยู่โรงเรียน ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาวิชาที่เรียน และ เป็นส่วนประกอบของกิจกรรมต่างๆ</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="color: #225588; font-family: Angsana New; font-size: large;">ดนตรีสำหรับปฐมวัยนั้น มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากดนตรีในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา เพราะดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง ดนตรีที่เด็กแสดงออกตามความพร้อม การรับรู้และ ความสนใจของเด็กแต่ละคน การแสดงออกของเด็กจะอาศัยสื่อบางอย่างได้แก่ เสียงร้อง อุปกรณ์เครื่องดนตรี หรือ การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งการแสดงออกทางดนตรีของเด็กจะแสดงออกหลายรูปแบบเช่น การร้องเพลง การเคลื่อนไหวตามจังหวะตามทำนอง และตามเนื้อร้องของเพลง รวมทั้งการเล่นอุปกรณ์เครื่องดนตรี และการสร้างสรรค์ทางดนตรี ครูเป็นบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลในการช่วยเหลือเด็กให้เกิดความรักทางด้านดนตรีมีประสบการณ์ทางด้านดนตรีมีความเจริญงอกงามทางดนตรี มีการพัฒนาการทางดนตรีและมีพฤติกรรมใหม่เกิดขึ้น</span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="color: #225588; font-family: Angsana New; font-size: large;">อันเป็นผลจากการเรียนรู้ ซึ่งผลการเรียนรู้นี้ช่วยให้เด็กมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆคือ</span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">1. </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีทักษะทางด้านดนตรี</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">2. </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีความชื่นชมและรักในดนตรี</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">3. </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีความรู้สึกกล้าอยากทดลองสิ่งใหม่</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การที่เด็กสามารถพัฒนาการเรียนรู้ทางด้านดนตรี ขึ้นอยู่กับ สติปัญญา อารมณ์ และ วุฒิภาวะของเด็กแต่ละคน ซึ่งมีความแตกต่างกันไป<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูต้องนำกระบวนการเรียนรู้มาใช้ คือ</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">1. </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูควรเสริมแรงให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจเมื่อเด็กประสบความสำเร็จทางดนตรี เพราะจะทำให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในการกระทำครั้ง ต่อไป</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">2. </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กแสดงอารมณ์ผ่านทางเสียงดนตรี และ เพลง ให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ทางดนตรี</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">3. </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูควรใช้เทคนิคการสอนแบบต่างๆ และนำอุปกรณ์สร้างสรรค์ต่างๆ เช่น หุ่นมือ หุ่นชัก และอุปกรณ์ดนตรีหลากหลายมาใช้เป็นตัวช่วยให้</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="color: #225588; font-family: Angsana New; font-size: large;">เด็กเกิดการเรียนรู้ทักษะทางดนตรีมากขึ้น</span><span lang="EN-US"><br />
</span><b><span style="color: #225588; font-family: Angsana New; font-size: large;">วุฒิภาวะของเด็ก</span></b><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="color: #225588; font-family: Angsana New; font-size: large;">ในการจัดการเรียนการสอนดนตรีแก่เด็กสิ่งที่สำคัญที่ครูต้องคำนึงถึงคือวุฒิภาวะของเด็กด้านต่างๆ คือ</span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">1. </span>ด้านร่างกาย</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">2. </span>ด้านอารมณ์</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">3. </span>ด้านสังคม</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">4. </span>ด้านสติปัญญา</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดังนั้นดนตรีเป็นกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการของเด็กให้มีการพัฒนาทั้ง<span lang="EN-US"> 4 </span>ด้านดีขึ้น</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="color: #225588; font-family: Angsana New; font-size: large;">รูปแบบของกิจกรรมดนตรีที่ผู้ปกครอง ครู ควรจัดให้เด็กได้มีโอกาสปฏิบัติ คือ</span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">1. </span>ประสบการณ์ด้านการฟังเพลงให้เด็กได้มีโอกาสฟังเพลงรอบๆตัว อย่าให้ดังไปหรือเบาไป เช่น การตักน้ำ เปิดขวด เทน้ำลงถัง เป็นต้น</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">2. </span>ประสบการณ์ด้านการร้องเพลง ทำให้เด็กเกิดความสนใจ เกิดเจตคติที่ดีต่อดนตรี เพลงที่เด็กฟังต้องมีการเชิญชวนไม่กดดัน และเด็กมีส่วนร่วม</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">3. </span>ประสบการณ์ด้านการเคลื่อนไหวและจังหวะต้องค่อยๆสอนให้เด็กรู้จังหวะ การเคาะจังหวะช้า<span lang="EN-US">,</span>เร็ว การเดินประกอบจังหวะช้า<span lang="EN-US">,</span>เร็ว</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">4. </span>ประสบการณ์ด้านการดนตรี แบ่งเป็น <span lang="EN-US">2 </span>ประเภท คือ สอนในห้องเรียนและสอนตัวต่อตัว</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">5. </span>ประสบการณ์ด้านการสร้างสรรค์ดนตรี สำรวจเสียงในห้องเรียน เปรียบเทียบเครื่องดนตรี</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">6. </span>ประสบการณ์ด้านการอ่านสัญลักษณ์ทางดนตรีหรือโน้ตเพลง กิจกรรมไม่ต้องชี้ให้จำแต่สอนไปเรื่อยๆประมาณ <span lang="EN-US">7-8 </span>ครั้ง เด็กจะจำจังหวะและ ตัวโน๊ตได้</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><b><span style="color: #225588; font-family: Angsana New; font-size: large;">หลักการสอนดนตรีสำหรับเด็กปฐมวัย ควรครอบคลุมถึงสิ่งต่อไปนี้</span></b><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">1. </span>ครูควรสอนเพลงที่หลากหลายแก่เด็กเพลงที่มีความหมายที่ดีเช่นเพลงสรรเสริญพระบารมีเพลงชาติ</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">2. </span>ครูควรสอนเด็กๆให้รู้จักจังหวะที่ถูกต้อง เช่น ช้า<span lang="EN-US">, </span>เร็ว <span lang="EN-US">, </span>ปรบมือ<span lang="EN-US">, </span>เคาะจังหวะ</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">3. </span>ให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมในลักษณะผู้นำ - ผู้ตาม</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">4. </span>เด็กเข้าใจลักษณะองค์ประกอบดนตรี ทำนอง</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">5. </span>เด็กสามารถแยกแยะเสียงสูงต่ำ</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">6. </span>เด็กมีประสบการณ์สร้างสรรค์ดนตรีมากที่สุด</span></span></span><span lang="EN-US"><br />
</span><span style="font-size: large;"><span style="color: #225588;"><span style="font-family: Angsana New;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="EN-US">7. </span>เด็กมีความสุขในการเรียนดนตรี<span lang="EN-US"></span></span></span></span></a></span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size: large;"><span style="font-family: Angsana New;"><b><span lang="TH">การปลูกฝังทัศนคติดนตรีกับเด็กปฐมวัย</span></b><br />
<span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การจัดกิจกรรมดนตรีในระดับปฐมวัยนั้น ตัวเด็กเองจะได้พัฒนาทางทัศนคติที่ดีควบคู่ไปด้วย และกระบวนการเรียนการสอน เมื่อเด็กเริ่มการเรียนรู้สาระดนตรี เด็กจะเริ่มสะสมประสบการณ์ต่างๆ รวมทั้งทัศนคติซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจ ดังนั้นจึงเป็นความจำเป็นที่ผู้สอนควรมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนการสอนและจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่พึงพอใจเพื่อเด็กเกิดความสนใจ ความชอบ ความรักในดนตรี สำหลับเด็กวัยนี้ควรปลูกฝังทัศนคติที่จัดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นวัยที่เริ่มเรียนดนตรี ถ้าเด็กมีทัศนคติต่อดนตรีแล้ว ในการศึกษาดนตรีต่อๆไป เด็กย่อมจะมีความสนใจอยากศึกษาด้านสาระดนตรี ดังนั้นครูผู้สอนจึงพยายามทำให้เด็กเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับดนตรีเสมอ</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div></td></tr>
</tbody></table>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-90705485379842222872010-11-27T01:47:00.000-08:002010-11-27T01:47:42.363-08:00ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย<h3 class="post-title entry-title"><a href="http://kunlayanee1113.blogspot.com/2008/11/blog-post.html"><h3 class="post-title entry-title"></h3></a><h3 class="post-title entry-title"><a href="http://kunlayanee1113.blogspot.com/2008/11/blog-post.html">ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย</a> </h3><div class="post-header"><div class="post-header-line-1"><h3 class="post-title entry-title"><a href="http://kunlayanee1113.blogspot.com/2008/11/blog-post.html">ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย</a> </h3><div class="post-header"><div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content"><span style="color: magenta;">การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย นอกจากจะได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตาแล้ว กิจกรรมศิลปะยังสอดคล้องกับแบบแผนการเรียนรู้ของสมอง หรือที่เรียกว่า Brain Base Learning (BBL) อีกด้วย เด็กจะได้ฝึกปฏิบัติจริง มีประสบการณ์ตรง เรียนรู้ผ่านการสังเกตและฝึกกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาจุดเชื่อมต่อของใยประสาท ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย มีอิสระทางความคิด กิจกรรมศิลปะ เป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนากล้ามเนื้อเล็กได้เป็นอย่างดี และยังเชื่อมโยงพัฒนาการของอวัยวะหลายส่วน ทำให้เกิดจุดเชื่อมต่อของใยประสาทที่สามารถพัฒนาไปสู่แบบแผนการเรียนรู้ของสมอง ในการจัดกิจกรรมศิลปะหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ ครูควรจัดกิจกรรมให้เด็กมีประสบการณ์ตรงและฝึกปฏิบัติอย่างหลากหลาย หากย้อนอดีต สะท้อนประสบการณ์เดิมด้านการเรียนการสอนศิลปะ คุณครูจะให้นักเรียนวาดภาพทิวทัศน์ในกระดาษวาดเขียน แนวคิดเดิม ๆ คือ ภาพทิวทัศน์จะมีดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางระหว่างภูเขา มีก้อนเมฆ มีต้นมะพร้าวหรือต้นไม้อื่น มีน้ำทะเล มีเรือใบ มีนกบิน ฯลฯ แต่ยุคปัจจุบันการสอนศิลปะเด็กปฐมวัย จะต้องจัดกิจกรรมให้เด็กอย่างหลากหลายรูปแบบนะครับ เช่น - กิจกรรมวาดภาพระบายสี - กิจกรรมเล่นกับสีน้ำ เช่น เป่าสี หยดสี พับสี ระบายสีด้วยนิ้วมือ ฝ่ามือ - กิจกรรมการพิมพ์ภาพด้วยส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและวัสดุต่าง ๆ - กิจกรรมการปั้น ขยำดินเหนียว ดินน้ำมัน แป้งโด กระดาษ ฯลฯ - กิจกรรมการพับ ฉีก ตัด ปะ - กิจกรรมการร้อย สาน และการออกแบบ - กิจกรรมการฝนสีด้วยกระดาษทราย ฯ ล ฯ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว ครูสามารถส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่เพิ่มจุดเชื่อมต่อของใยประสาท โดยส่งเสริมให้เด็กสังเกตรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตา การพัฒนาระบบกายสัมผัสโดยให้เด็กมีโอกาสสัมผัสรับรู้วัสดุที่มีผิวสัมผัสต่างกันในระหว่างทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ผ้ากระสอบ ผ้าสักหลาด กำมะหยี่ กระดาษทราย กระดาษที่มีผิวสัมผัสต่างกัน ฯลฯ ระหว่างทำกิจกรรมศิลปะ ครูต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น แสงสว่างพอเหมาะ มีเสียงดนตรีเบา ๆ บรรยากาศผ่อนคลาย ทำให้เกิดการเชื่อมโยงสมองส่วนประสาทสัมผัสกับสมองส่วนที่คุมกล้ามเนื้อพร้อม ๆ กัน การเชื่อมโยงสมองซีกซ้ายเข้ากับซีกขวาที่เป็นด้านจินตนาการ ดังนั้น งานศิลปะจึงไม่ควรเป็นการลอกเลียนแบบหรือต้องทำให้เหมือนจริง รวมทั้งไม่เน้นความถูกต้องของสัดส่วน แต่ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เด็กสนุกสนาน ซึมซับความงามของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในผลงานของตน ควบคู่กับความสามารถถ่ายทอดการรับรู้ภายในด้านมิติ รูปทรง ขนาด ระยะ ฯลฯ ตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เด็ก </span></div></div></div></h3>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-17193649596917922982010-11-27T01:41:00.000-08:002010-11-27T01:41:46.491-08:00การพัฒนาสมองเด็กปฐมวัย<strong>การพัฒนาสมองเด็กปฐมวัย..<br />
<br />
<!-- Main -->เด็กปฐมวัย </strong><span style="color: magenta;">คือ เด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ การอบรมและเลี้ยงดูแก่เด็กปฐมวัยมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการการเรียนรู้ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เพราะสมองของเด็กเรียนรู้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่เป็นพันๆเท่า เด็กเรียนรู้ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะ สิ่งที่เข้ามาปะทะล้วนเป็นข้อมูลเข้าไปกระตุ้นสมองเด็กทำให้เซลล์ต่างๆเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อต่างๆอย่างมากมายซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น สมองจะทำหน้าที่นี้ไปจนถึงอายุ 10 ปีจากนั้นสมองจะเริ่มขจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันทิ้งไปเพื่อให้ส่วนที่เหลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด <br />
<br />
<br />
การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning) เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ 3 ประการ คือ 1.)การทำงานของสมอง 2.)การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก 3.)กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยเปิดกว้าง ให้เด็กเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง เนื่องจากสมองเรียนรู้ตลอดเวลา ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติหรือลงมือกระทำด้วยตนเอง ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบร่วมมือและผู้เรียนได้เรียนรู้แบบบูรณาการ การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐานส่งเสริมให้เด็กไทยได้พัฒนาศักยภาพสมองของเขาอย่างเต็มความสามารถ<br />
<br />
<br />
“ ฉันฟัง ฉันลืม<br />
<br />
<br />
ฉันเห็น ฉันจำได้<br />
<br />
<br />
ฉันได้ทำ ฉันเข้าใจ” <br />
<br />
<br />
</span><br />
<center><span style="color: magenta;">ให้เด็กได้พูดในสิ่งที่เขาคิด และได้ลงมือกระทำ ถ้าไม่ได้พูดสมองไม่พัฒนา ต้องฝึกให้ใช้สมองมากๆอย่างมีความสุข ไม่ให้เครียด</span></center>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-73603295162921493692010-11-25T05:39:00.000-08:002010-11-25T05:39:44.168-08:00การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning)<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: orange;">การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน </span></span></b><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: orange;">(Brain-based Learning) </span></span></b></div><span style="color: orange;"></span><br />
<div align="center" class="MsoNormal" style="text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: orange;">สำหรับเด็กปฐมวัย </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal"><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></b><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์คือ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>แรกเกิดถึง 7 ปี<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>หากมาส่งเสริมหลังจากวัยนี้แล้วถือได้ว่าสายเสียแล้ว เพราะการพัฒนาสมองของมนุษย์ในช่วงวัยนี้จะพัฒนาไปถึง 80 </span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">% <span lang="TH">ของผู้ใหญ่<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรียนรู้อย่างมีความสุข<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดูแลด้านสุขนิสัยและโภชนาการเหมาะสม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เด็กจึงจะพัฒนาศักยภาพสมองของเขาได้อย่างเต็มความสามารถ</span> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>สมองของเด็กเรียนรู้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่เป็นพันๆเท่า เด็กเรียนรู้ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สิ่งที่เข้ามาปะทะล้วนเป็นข้อมูลเข้าไปกระตุ้นสมองเด็กทำให้เซลล์ต่างๆเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อต่างๆอย่างมากมายซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สมองจะทำหน้าที่นี้ไปจนถึงอายุ 10 ปีจากนั้นสมองจะเริ่มขจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันทิ้งไปเพื่อให้ส่วนที่เหลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด </span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน </span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">(Brain-based Learning) <span lang="TH">เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ 3 ประการ คือ 1.)การทำงานของสมอง <span style="mso-spacerun: yes;"> </span>2.)การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>3.)กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยเปิดกว้าง ให้เด็กเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง เนื่องจากสมองเรียนรู้ตลอดเวลา<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติหรือลงมือกระทำด้วยตนเอง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบร่วมมือและผู้เรียนได้เรียนรู้แบบบูรณาการ การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐานส่งเสริมให้เด็กไทยได้พัฒนาศักยภาพสมองของเขาอย่างเต็มความสามารถ</span> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> <span style="color: purple;"> </span></span><b><span lang="TH"><span style="color: purple;">การทำงานของสมอง </span></span></b></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span lang="TH">สมองเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เมื่อคลอดออกมาจะมีเซลล์สมองเกือบทั้งหมดแล้วเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่<span style="mso-spacerun: yes;"> </span><b>สมองยังคงเติบโตไปได้อีกมากในช่วงแรกเกิดถึง 3 ปี เด็กวัยนี้จะมีขนาดสมองประมาณ 80 </b></span><b>% <span lang="TH">ของผู้ใหญ่<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>หลังจากวัยนี้ไปแล้วจะไม่มีการเพิ่มเซลล์สมองอีกแต่จะเป็นการพัฒนาของโครงข่ายเส้นใยประสาท</span></b><span lang="TH"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ในวัย 10 ปีเป็นต้นไปสมองจะเริ่มเข้าสู่วัยถดถอยอย่างช้าๆจะไม่มีการสร้างเซลล์สมองมาทดแทนใหม่อีก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ปฐมวัยจึงเป็นวัยที่มีความสำคัญยิ่งของมนุษย์ </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>สมองประกอบด้วย เซลล์สมองจำนวนกว่า </span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">1<span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="TH">แสนล้านเซลล์<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ลักษณะของเซลล์สมองแต่ละเซลล์จะมีส่วนที่ยื่นออกไปเป็นเส้นใยสมองแตกแขนงออกมามากมายเป็นพัน ๆ เส้นใยและเชื่อมโยงต่อกับเซลล์สมองอื่น ๆ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เส้นใยสมองเหล่านี้เรียกว่า แอกซอน </span>(Axon)<span lang="TH">และเดนไดรท์ </span>(Dendrite)<span lang="TH">จุดเชื่อมต่อระหว่างแอกซอนและเดนไดรท์ เรียกว่า ซีนแนปส์ </span>(Synapses)<span lang="TH">เส้นใยสมองแอกซอนทำหน้าที่ส่งสัญญาณกระแสประสาทไปยังเซลล์สมองที่อยู่ถัดไป<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ซึ่งเซลล์สมองบางตัวอาจมีเส้นใยสมองแอกซอนสั้นเพื่อติดต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ชิดกัน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>แต่บางตัวก็มีเส้นใยสมองแอกซอนยาวเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ห่างออกไป<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ส่วนเส้นใยสมองเดนไดรท์เป็นเส้นใยสมองที่ยื่นออกไป อีกทางหนึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณกระแสประสาทจากเซลล์สมองข้างเคียงเป็นส่วนที่เชื่อมติดต่อกับเซลล์สมองตัวอื่น ๆ เซลล์สมองและเส้นใยสมองเหล่านี้จะมีจุดเชื่อมต่อหรือซีนแนปส์</span>(Synapses)<span lang="TH">เชื่อมโยงติดต่อถึงกันเปรียบเสมือนกับการเชื่อมโยงติดต่อกันของสายโทรศัพท์ตามเมืองต่าง ๆ นั้นเอง</span> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt 63.0pt 81.0pt 90.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span lang="TH">จากการทำงานของเซลล์สมองในส่วนต่าง ๆ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลรอบตัวและสร้างความรู้ขึ้นมาได้นั้นคือ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เกิดการคิด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>กระบวนการคิด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และความคิดขึ้นในสมอง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>หลังเกิดความคิดก็มีการคิดค้นและมีผลผลิตเกิดขึ้น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ยิ่งถ้าเด็กมีการใช้สมองเพื่อการเรียนรู้และการคิดมากเท่าไร<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ก็จะทำให้เซลล์สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองใหม่ ๆ แตกแขนงเชื่อมติดต่อกันมากยิ่งขึ้น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ทำให้สมองมีขนาดใหญ่ขึ้นโดยไปเพิ่มขนาดของเซลล์สมองจำนวนเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span><b>สมองของเด็กพัฒนาจากการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กพบว่า<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ทักษะความคล่องตัวของกล้ามเนื้อมัดเล็กจะพัฒนาภายในช่วงเวลา<span style="mso-spacerun: yes;"> </span></b></span><b>10 <span lang="TH">ปีแรก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดังนั้นถ้าหากเด็กได้ฝึกฝนการใช้มือ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของมือจะทำให้สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อและสร้างไขมันล้อมรอบเส้นในสมอง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้มาก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ทำให้เกิดทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก</span></b> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt 63.0pt 81.0pt 90.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span lang="TH">สมองมีหลายส่วนทำหน้าที่แตกต่างกันแต่ทำงานประสานกัน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เช่นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และรับรู้การเคลื่อนไหว สี รูปร่างเป็นต้น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>หลายส่วนทำหน้าที่ประสานกันเพื่อรับรู้เหตุการณ์หนึ่ง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เช่น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การมองเห็นลูกเทนนิสลอยเข้ามา<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สมองส่วนที่รับรู้การเคลื่อนไหว สี<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และรูปร่าง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สมองจะอยู่ในตำแหน่งแยกห่างจากกันในสมองแต่สมองทำงานร่วมกันเพื่อให้เรามองเห็นภาพได้<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>จากนั้นสมองหลายส่วนทำหน้าที่ประสานเชื่อมโยงให้เราเรียนรู้และคิดว่าคืออะไร<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เป็นอย่างไร<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น สมองสามารถเรียนรู้กับสถานการณ์หลาย ๆ แบบพร้อม ๆ กันโดยการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เช่น สมองสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และคณิตศาสตร์เชื่อมโยงกันได้<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การทำเช่นนี้ได้เป็นเพราะระบบการทำงานของสมองที่ซับซ้อน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีหลายชั้นหลายระดับ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และทำงานเชื่อมโยงกันเนื่องจากมีเครือข่ายในสมองเชื่อมโยงเซลล์สมองถึงกันหมด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เครือข่ายเส้นใยสมองเหล่านี้เมื่อถูกสร้างขึ้นแล้ว<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดูเหมือนว่าจะอยู่ไปอีกนานไม่มีสิ้นสุด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ช่วยให้สมองสามารถรับรู้และเรียนรู้ได้ทั้งในส่วนย่อยและส่วนรวม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สามารถคิดค้นหาความหมาย<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คิดหาคำตอบให้กับคำถามต่าง ๆ ของการเรียนรู้และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ออกมาได้อีกด้วย</span> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt 63.0pt 81.0pt 90.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span lang="TH">นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่า<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ความเครียดขัดขวางการคิดและการเรียนรู้<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เด็กที่เกิดความเครียดจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเช่นเด็กที่ได้รับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจทำให้เกิดความหวาดกลัว<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เครียด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>บรรยากาศการเรียนรู้ไม่มีความสุข<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คับข้องใจ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูอารมณ์เสีย<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูอารมณ์ไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวดี<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เดี๋ยวร้าย<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ครูดุ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ขณะที่เด็กเกิดความเครียด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สารเคมีทั้งร่างกายปล่อยออกมาจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ทำให้เกิดการสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรียกว่า<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คอร์ติโซล </span>(Cortisol)<span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="TH">จะทำลายสมองโดยเฉพาะสมองส่วนคอร์เท็กซ์หรือพื้นผิวสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ความฉลาด<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>กับสมองส่วนฮิปโปแคมปัสหรือสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์และความจำ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ซึ่งความเครียดทำให้สมองส่วนนี้เล็กลง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เด็กที่ได้รับความเครียดอยู่ตลอดเวลา<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>หรือพบความเครียดที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ส่งผลต่อการขาดความสามารถในการเรียนรู้<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เพราะเด็กมีสมองพร้อมที่จะเรียนได้<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>แต่ถูกทำลายเพราะความเครียดทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ได้หายไปตลอดชีวิต </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></b><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="text-indent: 36pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: red;">การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก</span></span></b><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: red;"> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมองจำเป็นต้องคำนึงถึง<b>กระบวนการทำงานของสมองและการทำงานให้ประสานสัมพันธ์ของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา</b><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สมองซีกซ้ายควบคุมความมีเหตุผลเป็นการเรียนด้านภาษา จำนวนตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การคิดวิเคราะห์ <span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ในขณะที่สมองซีกขวาเป็นด้านศิลปะ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>จินตนาการ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ดนตรี ระยะ/มิติ หากครูสามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เด็กได้ใช้ความคิดโดยผสมผสานความสามารถของการใช้สมองทั้งสองซีกเข้าด้วยกันให้สมองทั้งสองซีกเสริมส่งซึ่งกันและกัน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ผู้เรียนจะสามารถสร้างผลงานได้ดีเยี่ยม เป็นผลงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถแสดงความมีเหตุผลผสมผสานในผลงานชิ้นเดียวกัน </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="color: red;">หลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยควรคำนึงถึงการเรียนรู้ในด้านต่างๆดังนี้</span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span lang="TH">1. การเคลื่อนไหวของร่างกาย<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฝึกการยืน เดิน วิ่ง จับ ขว้าง กระโดด การเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆที่เราต้องการ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>หรือพวกนักกีฬาต่างๆ </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>2. ภาษาและการสื่อสาร เป็นการใช้ภาษาสื่อสารโดยการปฏิบัติจริง จากการพูด การฟัง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การอ่านและการเขียน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เช่น ให้เด็กเล่าสิ่งที่เขาได้พบเห็น ได้ลงมือกระทำ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฟังเรื่องราวต่างๆที่เด็กต้องการเล่าให้ฟังด้วยความตั้งใจ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เล่านิทานให้ลูกฟังทุกวัน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เล่าจบตั้งคำถามหรือสนทนากับลูกเกี่ยวกับเรื่องราวในนิทาน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>อ่านคำจากป้ายประกาศต่างๆที่พบเห็น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ให้เด็กได้วาดภาพสิ่งที่เขาได้พบเห็นหรือเขียนคำต่างๆที่เขาได้พบเห็น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>3. การรู้จักการหาเหตุผล ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต การเปรียบเทียบ จำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>จัดหมวดหมู่สิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรียนรู้ขนาด ปริมาณ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การเพิ่มขึ้นลดลง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การใช้ตัวเลข</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>4. มิติสัมพันธ์และจินตนาการจากการมองเห็น ให้เด็กได้สัมผัสวัตถุต่างๆที่เป็นของจริง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรียนรู้สิ่งต่างๆจากประสบการณ์ตรง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ระยะ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ขนาดตำแหน่ง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และการมองเห็น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สังเกตรายละเอียดของสิ่งต่างรอบตัว<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เข้าใจสิ่งที่มองเห็นได้สัมผัส<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สามารถนำสิ่งที่เข้าใจออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>5. ดนตรีและจังหวะ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ให้เด็กได้ฟังดนตรี แยกแยะเสียงต่างๆ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฝึกให้เด็กรู้จักจังหวะดนตรี</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>6. การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="TH">ฝึกให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นในด้านการช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน เข้าใจผู้อื่น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ปฏิสัมพันธ์ในสังคมของมนุษย์เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และสติปัญญา </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>7. การรู้จักตนเอง รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง เข้าใจตนเอง จะทำให้ดูแลกำกับพฤติกรรมตนเองได้อย่างเหมาะสม</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>8. การปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></b><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>กระบวนการจัดการเรียนรู้</span></b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt 63.0pt 81.0pt 99.0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>เด็กปฐมวัยเรียนรู้ผ่านการเล่น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรียนรู้อย่างมีความสุข<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ลักษณะกระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นแบบเปิดกว้าง จัดให้มีประสบการณ์ที่หลากหลายโดยให้เด็กได้เรียนรู้ตามความสนใจหรือให้เด็กได้แสดงออกในแนวทางที่เขาสนใจ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรียนรู้แบบปฏิบัติจริงโดยการใช้ประสาทสัมผัสกระทำกับวัตถุด้วยความอยากรู้อยากเห็น ได้ทดลองสร้างสิ่งใหม่ๆ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เด็กเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เด็กได้การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นกลุ่มเล็กๆ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และเป็นรายบุคคล<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>การให้เด็กได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่นทำให้เด็กได้ตรวจสอบความคิดของตน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>แต่เมื่อมีปัญหาเด็กต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ควรให้เด็กได้เรียนรู้แบบบูรณาการซึ่งเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเป็นตัวตั้ง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีการเชื่อมโยงหลากหลายสาขาวิชา<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>บทบาทของครูเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กต้องการและให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสม</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal"><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></b><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: #cc0000;">ผู้ปกครองมีบทบาทอย่างไรในการช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก</span></span></b><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></b></div><br />
<br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="margin-left: 54pt; mso-list: l4 level1 lfo2; tab-stops: list 54.0pt; text-indent: -18pt;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt; mso-fareast-font-family: 'Browallia New';"><span style="mso-list: Ignore;">1.<span style="font: 7pt 'Times New Roman';"> </span></span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">ให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยการลงมือกระทำโดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5<span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="margin-left: 36pt; tab-stops: 54.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>ในการทำกิจกรรม 1 กิจกรรมพยายามให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสหลายอย่างร่วมกัน</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><i>การเรียนจากการปฏิบัติจะทำให้เด็กเกิดความเข้าใจ</i></span><i><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></i></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 63.0pt;"><i><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></i><i><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></i></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 63.0pt;"><i><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></i><i><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">“<span lang="TH"> ฉันฟัง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฉันลืม</span> </span></i></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 63.0pt;"><i><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฉันเห็น<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฉันจำได้</span></i><i><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></i></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 63.0pt;"><i><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฉันได้ทำ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฉันเข้าใจ</span></i><i><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">” </span></i></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 63.0pt;"><i><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></i><br />
<div class="MsoNormal"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span></span></b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">2.<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ให้เด็กได้พูดในสิ่งที่เขาคิด และได้ลงมือกระทำ</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="TH">ถ้าไม่ได้พูดสมองไม่พัฒนา<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ต้องฝึกให้ใช้สมองมากๆอย่างมีความสุข<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ไม่ให้เครียด </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>3.<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ผู้ใหญ่ต้องรับฟังในสิ่งที่เขาพูดด้วยความตั้งใจ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และพยายามเข้าใจเขา</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal"><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></b><br />
<div class="MsoNormal" style="text-indent: 36pt;"><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span></b><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: red;">สารอาหารบำรุงสมอง</span></span></b><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="color: red;"> </span></span></b></div><br />
<br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>อาหาร </span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">5 <span lang="TH">หมู่มีส่วนบำรุงสมองทั้งสิ้น โดยเฉพาะทารกในครรภ์<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>อาหารจะเข้าไปช่วยสร้างเซลล์สมอง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เมื่อคลอดออกมาแม่ต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่เช่นเดิม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เมื่อลูกโตขึ้นปริมาณของน้ำนมของแม่ไม่เพียงพอต่อความต้องการจึงต้องให้อาหารเสริม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ถ้าขาดสารอาหารเซลล์สมองจะเติบโตช้าและมีจำนวนน้อยลง <span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เส้นใยประสาทมีการสร้างไม่ต่อเนื่อง</span> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="color: red;">ตับและไข่</span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เด็กปฐมวัยต้องการธาตุเหล็กจากตับหรือไข่ ถ้าเด็กไม่กินตับหรือไข่<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>และหรือกินในปริมาณที่ไม่เพียงพอจะทำให้ความจำและสมาธิด้อยลง</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="color: red;">ปลา</span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สารจากเนื้อปลาและน้ำมันปลามีส่วยสำคัญต่อการพัฒนาความจำและการเรียนรู้เสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทที่เรียกว่า เดนไดร์<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงสัมพันธ์เรื่องราวที่เรียนรู้จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง อธิบายได้ว่าทำให้เด็กเข้าเรื่องที่เรียนรู้ได้ง่ายและเร็ว</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">ควรให้เด็กรับประทานเนื้อปลาทุกวันหรือ </span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;">2-3 <span lang="TH">ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะเนื้อปลาทะเลเช่น ปลาทู<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ปลากระพง และปลาตาเดียว เป็นต้น</span> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> <span style="color: red;"> </span></span><span style="color: red;">ผักและผลไม้</span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ผักที่มีสีเขียว<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เหลืองหรือแดง<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>อาหารเหล่านี้ให้วิตามินซี เพื่อนำไปสร้างเซลล์เยื่อบุต่างๆทั่วทั้งร่างกายและวิตามินเอทำให้เซลล์ประสาทตาทำงานได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการพัฒนาสมอง</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> <span style="color: red;"> </span></span><span style="color: red;">วิตามินและเกลือแร่</span> ช่วยในการทำงานของเชลล์ในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าขาดจะทำให้เชลล์สมองมีการทำงานลดลงและเชื่องช้าจะกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="color: red;">ปลา ไก่ หมู นมและอาหารทะเล</span> อาหารเหล่านี้มีแร่ธาตุต่างๆเช่น เหล็ก ทองแดง แมกนีเซี่ยม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สังกะสี<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ฟอสฟอรัสและไอโอดีน<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>มีผลต่อการทำงานของเซลล์สมอง</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><span style="color: red;">ผักตระกูลกะหล่ำ(ทำให้สุก) ข้าวสาลี และน้ำนมแม่</span> สามารถไปยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระที่อาจจะทำลายเซลล์สมองได้</span><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 40.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>การพัฒนาศักยภาพทางสมองของเด็ก ขึ้นกับ อาหาร<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>พันธุกรรม<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สิ่งแวดล้อมต่างๆ และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การมีโอกาสได้ใช้ความคิดอยู่เสมอ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ให้เด็กมีโอกาสคิดในหลากหลายแบบเช่น คิดแสวงหาความรู้<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คิดอย่างมีวิจารณญาณ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คิดกว้าง คิดไกล<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คิดเชิงอนาคต<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>คิดนอกกรอบ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ผู้ปกครองหรือครูควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ฝึกการคิดอย่างเหมาะสมกับวัย และมีความสุขในขณะที่ฝึก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>สมองจึงจะพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 50.0pt;"><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"></span><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจเหตุผล</span></b><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>ลูกไม่รู้ว่าแม่เหนื่อย<span style="mso-tab-count: 1;"> </span>ลูกไม่เข้าใจ<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ลูกก็ซน ช่างซักช่างถาม อย่ารำคาญ อย่าโกรธลูกเลย<span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span>รักลูกก็ให้กอดลูกแล้วบอกว่าแม่รักพ่อรัก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>แสดงความรักออกมาอย่างจริงใจ</span></b><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="TH">แสดงความใส่ใจต่อลูก<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>นี้คือยาวิเศษที่ลูกต้องการ </span></span></b></div><br />
<div class="MsoNormal" style="tab-stops: 45.0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-tab-count: 1;"> </span><b>คนที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือคนอารมณ์ดี</b></span><b><span style="font-family: 'Browallia New'; font-size: 16pt;"> </span></b></div></div></div></div></div></div></div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-59982337608096354032010-11-24T03:10:00.000-08:002010-11-24T03:10:06.850-08:00อาหารสำหรับเด็กแรกเกิด<span style="font-size: x-small;"><span style="font-family: Tahoma;"><strong><span style="color: #666666;">อาหารตามวัย</span></strong> คือ <span style="color: blue;">อาหารเพิ่มเติมจากนมแม่ โดยเด็กจะได้รับอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และเพิ่มจำนวนมื้อตามอายุเด็กค่ะ แต่ก่อนที่จะไปดูเมนูอาหารตามวัย เรามาศึกษาการเตรียมอาหารสำหรับลูกของเรากันก่อนนะคะ </span></span></span><br />
<div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">1. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนจับต้องอาหาร </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">2. ใช้ภาชนะที่สะอาด เก็บไว้มิดชิด ไม่ให้แมลงวันหรือแมลงอื่นๆไต่ตอม </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">3. หุงต้มอาหารและน้ำให้สุกอย่างทั่วถึง </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">4. ต้มหรือตุ๋นข้าวจนสุกเละ แล้วนำมาบดให้ละเอียดโดยใช้กระชอน หรือบดด้วยช้อนก็ได้ หรือตำข้าวสารให้ละเอียดแล้วจึงค่อยนำไปต้มให้สุก จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">5. สับหมู หั่นผักให้ละเอียดก่อนนำไปหุงต้ม </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">6. ให้กินเนื้อปลาสุก โดยการย่าง นึ่งหรือต้ม ไม่ควรให้กินหนังปลา </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">7. ให้กินแกงจืด (น้ำต้มผักกับเนื้อสัตว์บดละเอียด) ผสมกับข้าว โดยใช้แกงจืดหรือน้ำผัดผัก แต่ไม่ต้องเค็ม </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="color: blue;">8. เมื่อเด็กอายุ 7 เดือนแล้วให้กินถั่วเมล็ดแห้งได้ แล้วนำไปหุงต้มปนไปกับข้าว หรือจะนำไปทำเป็นขนมผสมกับน้ำตาลและนม </span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><strong><span style="color: #4c1130;">เมนูอาหารเด็กเล็ก อายุ 0-12 เดือน (สำหรับ 1 วัน)<span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span></strong></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><strong><span style="mso-spacerun: yes;"></span></strong></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="mso-spacerun: yes;"><strong><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><img align="left" border="0" height="113" src="http://www.ecitizen.go.th/cms/upload/infants/library/dv593076_01.jpg" width="170" /><span style="color: #cc0000;">อายุครบ </span></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="color: #cc0000;">4 <span lang="TH">เดือนขึ้นไป</span></span></span></strong><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><br />
<span style="color: #cc0000;"><span lang="TH">กินนมแม่ ข้าวบด ไข่แดงต้มสุกผสมแกงจืดวันละ </span>1 <span lang="TH">ครั้ง แล้วกินนมแม่ตามจนอิ่ม</span><br style="mso-special-character: line-break;" /></span></span></span></span></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><strong><span style="color: #cc0000;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">อายุครบ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">5 <span lang="TH">เดือน</span></span></span></strong><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><br />
<span style="color: #cc0000;"><span lang="TH">กินนมแม่ เพิ่มข้าวบดเนื้อปลาสุกสลับกับไข่แดงต้มสุกผสมแกงจืดวันละ </span>1 <span lang="TH">ครั้ง แล้วกินนมแม่ตามจนอิ่ม</span></span></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><strong><span style="color: #cc0000;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">อายุครบ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">6 <span lang="TH">เดือน</span></span></span></strong><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><br />
<span style="color: #cc0000;"><span lang="TH">กินนมแม่ ข้าวบดเนื้อปลาสุกหรือไข่แดงต้มสุกผสมแกงจืด โดยเพิ่มผักสุกบดด้วยทุกครั้งเป็นอาหารแทนนมแม่ </span>1 <span lang="TH">มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง </span>1 <span lang="TH">มื้อ</span></span></span></span></span></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><br style="mso-special-character: line-break;" /></span></span></span></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><strong><span style="color: purple;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">อายุครบ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">7 <span lang="TH">เดือน</span></span></span></strong><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><br />
<span style="color: purple;"><span lang="TH">กินนมแม่ เพิ่มเนื้อสัตว์สุกบดช<personname w:st="on">นิ</personname>ดอื่น เช่น ไก่ หมูและตับสัตว์สุกบด หรือทั้งไข่แดงและไข่ขาวต้มสุกบดลงในข้าวและผักบดสลับกับอาหารที่เคยให้เมื่ออายุครบ</span> 6 <span lang="TH">เดือน มีผลไม้เป็นอาหารว่าง </span>1 <span lang="TH">มื้อ <span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><strong><span style="color: purple;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">อายุ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">8-9 <span lang="TH">เดือน</span></span></span></strong><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><br />
<span style="color: purple;"><span lang="TH">กินนมแม่ กินอาหารเช่นเดียวกับอายุครบ </span>7 <span lang="TH">เดือน แต่บดหยาบและเพิ่มปริมาณมากขึ้นเป็นอาหารหลักแทนน้ำนมแม่ได้ </span>2 <span lang="TH">มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง </span>1 <span lang="TH">มื้อ</span> </span></span></span></span></span></span></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><strong><span style="color: purple;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">อายุ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;">10-12 <span lang="TH">เดือน</span></span></span></strong><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><br />
<span style="color: purple;"><span lang="TH">กินนมแม่ กินอาหารเช่นเดียวกับอายุ </span>8-9 <span lang="TH">เดือน แต่เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นเป็นอาหารหลักแทนน้ำนมแม่ได้ </span>3 <span lang="TH">มื้อ มีผลไม้เป็นอาหารว่าง</span> 1 <span lang="TH">มื้อ</span> </span></span></span></span></span></span></span></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"></div><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br style="mso-special-character: line-break;" /></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">1. อย่าให้อาหารอื่นนอกจากนมแม่ในระยะ 4 เดือนแรก เพราะลูกจะได้รับประโยชน์จากนมแม่ไม่เต็มที่ และนมแม่จะลดลงเพราะการดูดกระตุ้นน้อยลง </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">2. ควรเริ่มให้อาหารอื่นตามเมนูที่แนะนำ เพื่อให้ลูกคุ้นเคยง่ายขึ้นนะคะ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">3. เริ่มให้ลูกกินอาหารทีละอย่าง ทีละน้อยๆ เช่น 1 ช้อนชา แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนตามแต่ช<personname w:st="on">นิ</personname>ดของอาหาร โดยให้กินก่อนกินนมแม่มื้อใดมื้อหนึ่งเป็นประจำ แล้วให้นมตามจนลูกอิ่มนะคะ ในช่วง 6 เดือนแรก ควรให้อาหารวันละ 1 มื้อโดยเพิ่มทีละน้อยๆ จนมากพอ และเป็นอาหารหลักได้ 1 มื้อ เมื่ออายุ 6 เดือน </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">4. ควรป้อนอาหารทุกช<personname w:st="on">นิ</personname>ดด้วยช้อนเล็กๆ เพราะเราต้องการหัดให้ลูกรู้จักการกินอาหารจากช้อนค่ะ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">5. ควรเว้นระยะในการเริ่มอาหารใหม่แต่ละช<personname w:st="on">นิ</personname>ด เพื่อดูการยอมรับและดูว่าลูกแพ้อาหารหรือไม่ เช่น มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">6. ถ้าลูกไม่กินเพราะไม่คุ้นเคยหรือไม่ชอบ ควรงดไว้ก่อนชั่วคราวค่ะ แล้วค่อยลองให้อาหารช<personname w:st="on">นิ</personname>ดนั้นใหม่ในอีก 3-4 วันต่อมา จนลูกยอมกิน </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">7. หัดให้ลูกกินอาหารเหลวก่อน เช่น น้ำส้มคั้น น้ำต้มผัก แล้วจึงหัดให้กินอาหารข้นขึ้น เช่น กล้วยน้ำว้าสุกงอมบดผสมกับน้ำต้มสุกเล็กน้อย ข้าวบดผสมน้ำแกงจืด ไข่แดงต้ม ผักบด ปลาบด เป็นต้น อาหารจะค่อยๆข้นขึ้นและหยาบขึ้นตามอายุของลูกนะคะ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">8. ให้ลูกกินน้ำต้มสุกบ้าง เพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ต่างๆได้สมบูรณ์ และช่วยในการขับถ่ายของเสีย </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">9. เมื่อลูกเริ่มมีฟัน ก็ให้กินอาหารสับละเอียด ไม่ต้องบดค่ะ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">10. ให้ลูกกินอาหารที่สดใหม่ และทำสุกใหม่ๆ </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: #741b47;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;">11. เมื่อลูกไม่ต้องการกิน อย่าบังคับนะคะ พยายามลองให้ลูกกินใหม่วันต่อไป </span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="color: #741b47;">12. อย่าให้ลูกกินอาหารรสเค็มจัดและหวานจัด</span></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><strong><span style="color: #cc0000;">ที่มา</span></strong></span></div><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><a href="http://hp.anamai.moph.go.th/"><span style="color: #cc0000;">สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย</span></a></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"></span></div></span><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><strong><span style="color: #cc0000;">ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต</span></strong></span></div><div align="justify" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div></span></span></span></span></span></span></span></span></span><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span lang="TH"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: 'Times New Roman'; mso-fareast-language: EN-US;"><b><span lang="TH" style="font-family: Tahoma; font-size: 10pt;"><span style="color: magenta;">ข้อแนะนำในการให้อาหารตามวัยแก่เด็กเล็ก</span></span></b></span></span></span></span></span></span></span></span>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-281074639293566582010-11-24T03:03:00.000-08:002010-11-24T03:03:52.816-08:00พัฒนาการทารกแรกเกิด - เดือนที่ 3<table class="contentpaneopen"><tbody>
<tr><td class="contentheading" width="100%"><span style="color: magenta;">พัฒนาการทารกแรกเกิด - เดือนที่ 3</span> </td><td align="right" class="buttonheading" width="100%"><a href="http://www.sudrak.com/index2.php?option=com_content&do_pdf=1&id=8" onclick="window.open('http://www.sudrak.com/index2.php?option=com_content&do_pdf=1&id=8','win2','status=no,toolbar=no,scrollbars=yes,titlebar=no,menubar=no,resizable=yes,width=640,height=480,directories=no,location=no'); return false;" target="_blank" title="PDF"><img align="middle" alt="PDF" border="0" name="PDF" src="http://www.sudrak.com/templates/ja_senecio/images/pdf_button.png" /></a> </td><td align="right" class="buttonheading" width="100%"><a href="http://www.sudrak.com/index2.php?option=com_content&task=view&id=8&pop=1&page=0&Itemid=6" onclick="window.open('http://www.sudrak.com/index2.php?option=com_content&task=view&id=8&pop=1&page=0&Itemid=6','win2','status=no,toolbar=no,scrollbars=yes,titlebar=no,menubar=no,resizable=yes,width=640,height=480,directories=no,location=no'); return false;" target="_blank" title="พิมพ์"><img align="middle" alt="พิมพ์" border="0" name="พิมพ์" src="http://www.sudrak.com/templates/ja_senecio/images/printButton.png" /></a> </td><td align="right" class="buttonheading" width="100%"><a href="http://www.sudrak.com/index2.php?option=com_content&task=emailform&id=8&itemid=6" onclick="window.open('http://www.sudrak.com/index2.php?option=com_content&task=emailform&id=8&itemid=6','win2','status=no,toolbar=no,scrollbars=yes,titlebar=no,menubar=no,resizable=yes,width=400,height=250,directories=no,location=no'); return false;" target="_blank" title="อีเมล์"><img align="middle" alt="อีเมล์" border="0" name="อีเมล์" src="http://www.sudrak.com/templates/ja_senecio/images/emailButton.png" /></a> </td></tr>
</tbody></table><table class="contentpaneopen"><tbody>
<tr><td align="left" colspan="2" valign="top" width="70%"><span class="small"><span style="color: #999999;"><span style="color: red;">เขียนโดย กัมพล</span> </span></span> </td></tr>
<tr><td colspan="2" valign="top"><strong>ทารกแรกเกิด</strong><span style="color: #990000;">พัฒนาการของเด็ก เป็นเรื่องราวของความซับซ้อน ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอันมีปัจจัยสำคัญที่ตัวเด็กเอง และสิ่งแวดล้อม การพัฒนาการของเด็กที่เกิดขึ้นตลอดเวลา หากได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่ หรือผู้ใกล้ชิดในครอบครัวอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ และช่วยส่งเสริมให้เกิดขบวนการพัฒนาลักษณะ บุคลิกภาพที่ดีของเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่สามารดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข และในทางตรงกันข้าม หากเด็กได้รับการตอบสนอง ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสม ก็ย่อมก่อให้เกิดผลเสียกับเด็กคนนั้นๆ เช่นกัน ฉบับนี้เราจึงขอเสนอท่านด้วยเรื่อง "การพัฒนาการของเด็ก" ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงเดือนที่ 3 ลองดูซิว่า ลูกของท่านนั้น มีพัฒนาการอะไรเกิดขึ้นบ้าง และตัวท่านเองในฐานะเป็นพ่อแม่ หรือผู้ดูแลเด็ก ได้ตอบสนองในพัฒนาการเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใด </span><br />
<span style="color: #990000;">ความผูกพันระหว่างแม่กับลูก <br />
<br />
<span style="color: #660000;">มีความสำคัญยิ่ง เรียกได้ว่า มีความรู้สึกที่ดีต่อกันตั้งแต่เริ่มวางแผนที่จะมีลูก จนกระทั่งลูกน้อยเริ่มเติบใหญ่อยู่ในครรภ์ จนกระทั่งคลอดออกมา แม่ได้อุ้ม กอด สัมผัส และให้ลูกดูดนมแม่ ความผูกพันทางจิตใจระหว่างแม่ลูก มีความสำคัญต่อพัฒนาการของลูกยิ่งนัก ส่งผลไปถึงการเลี้ยงดู ซึ่งก่อให้เกิด สายใยแห่งความผูกพันมากยิ่งขึ้น ระหว่างเด็กกับแม่ หรือผู้เลี้ยงดูเด็ก ซึ่งแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็ก จะเรียนรู้จากกริยาอาการของเด็ก เข้าใจถึงความต้องการของเด็ก เช่น ลูกร้องเมื่อหิวนม ลูกอยากเล่น ลูกอยากนอน การส่งเสียงพูดช้าๆ ช่วยให้ลูกเกิดความสนใจโดยอาจจะแสดงสีหน้า ทำเสียงฮือฮา หรือขยับริมฝีปาก บิดไปมา เหล่านี้ ทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการต่อไป </span><br />
<span style="color: #4c1130;">อาการร้องของเด็กตั้งแต่แรกเกิด<br />
พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูที่ใกล้ชิด จะสามารถบอกได้ว่าเด็กร้องเนื่องจากสาเหตุใด เช่น เจ็บคอ ร้องหิว อยากให้อุ้ม นอกจากนี้อาจร้องเพราะตกใจ หรือร้องตามเสียงร้องของเด็กคนอื่น เป็นการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมแบบธรรมชาติ เราจึงต้องค่อยๆ พยายามเรียนรู้ และสังเกตจากอาการของลูกได้ <br />
</span><span style="color: #0c343d;">พฤติกรรมและการเคลื่อนไหวทางร่างกายในระยะแรกเกิด <br />
เด็กมักจะอยู่ในท่างอแขน-ขา จะมีการเคลื่อนไหวเท่ากัน 2 ข้างในท่านอนคว่ำ และเด็กก็จะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับโดยธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ เช่น การดูด การโต้ตอบเมื่อมีสิ่งสัมผัสข้างแก้ม การขยับแขน-ขาเมื่อตกใจ การก้าวของขาเมื่อจับยืนและเท้าแตะพื้น ซึ่งปฏิกิริยาสะท้อนกลับเหล่านี้ ในระยะแรกเกิด เด็กสามารมองเหม่อเห็นได้ชัดเจนในระยะห่าง 8-9 นิ้ว และจะมีพฤติกรรมมองหน้าช่วงสั้นๆ สามารถเลียนแบบ อ้าปาก และแลบลิ้นได้ <br />
</span><span style="color: #351c75;">ในช่วงสัปดาห์แรกนั้น เด็กอาจแสดงความตกใจด้วยการร้อง บางครั้งพ่อแม่อาจตกใจไปด้วย ซึ่งไม่แน่ใจว่าทำไมลูกจึงร้อง ทั้งๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การได้สัมผัสทางกาย โดยเฉพาะการอุ้มอยู่ในอ้อมกอดของแม่ จะช่วยให้เด็กหยุดร้องได้ และเป็นการกระตุ้นพัฒนาการอย่างหนึ่งได้ เด็กจะรับรู้ได้ว่า แม่อุ้มด้วยอารมณ์ และความรู้สึกเช่นไร</span><br />
ในระยะที่เด็กจะยังนอนเป็นส่วนใหญ่และตื่นขึ้นมาดูดนมทุกๆ ประมาณ 3-4 ชั่วโมง พฤติกรรมของเด็ก แต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป ไม่จำเป็นว่าลูกของเราจะต้องนอน หรือดูดนม ในจังหวะเวลาสม่ำเสมอ หรือเหมือนกับลูกคนอื่น ดังนั้น ไม่ควรเอาลูกคนอื่นๆ มาเปรียบเทียบกับลูกของเรา ขอเพียงการพัฒนาการต่างๆ ของลูกของเราอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและถูกต้อง ก็ดีแล้ว <br />
<br />
เดือนที่ 1<br />
เมื่อผ่านไป 1 เดือน คุณแม่ก็คงจะเริ่มมีความชำนิชำนาญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจับลูกอาบน้ำ อุ้มลูกให้ดูดนม ส่วนตัวเด็กเอง เราก็จะรู้สึกว่าดูกระชับมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เด็กในช่วงนี้ก็จะยังคงต้องการนอนมากอยู่ดี จะนอนถึงวันละประมาณ 12 ชั่วโมง เวลาตื่นก็จะร้อง และดูดนม หรือเวลารู้สึกเปียกแฉะจากการปัสสาวะหรืออุจจาระ ก็จะกระตุ้นให้ตื่นแล้วร้อง การนอนในแต่ละช่วงของเด็กวัยนี้ ก็จะแตกต่างกันไป แต่มักจะหลับได้ไม่นาน ก็ตื่น ขยับตัวไปมา แล้วจะหลับไปอีก การตื่นของเด็กแต่ละครั้ง ไม่ได้หมายความว่า เด็กหิวนม ดังนั้น เมื่อเห็นลูกตื่นขึ้นหรือเริ่มร้อง ไม่จำเป็นต้องป้อนนม หรือให้ลูกดูดนมทุกครั้งไป แต่ควรจะใช้วิธีการสัมผัสโดยการกล่อมเบาๆ หรืออุ้มให้กระชับ ถ้าร้องมาหรือพูดคุยเล่นด้วย ก็จะทำให้เด็กสงบลงได้ สิ่งสำคัญก็คือว่า พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กควรจะทำให้สภาวะแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็กไม่ตึงเครียด ควรจะเลี้ยงดูเด็กด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสร่าเริง เหมาะจะทำให้การพัฒนาการทางด้านจิตใจเด็กเป็นไปด้วยดีด้วยหลายๆ ครั้ง เราจึงต้องคอยสังเกตอยู่เสมอว่า การช่วยปลอบให้ลูกหยุดร้องนั้น จะใช้วิธีใดสำหรับลูกของเรา ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไป<br />
<br />
ในยามที่ลูกตื่น และปราศจากสิ่งรบกวนอื่นๆ จะเป็นเวลาที่เหมาะสมต่อการกระตุ้นการพัฒนาการของลูก ทั้งทางด้านอารมณ์ สติปัญญา จิตใจ และร่างกาย เราสามารถกระตุ้นด้วยการพูดคุยเล่นด้วย ใช้เสียงเป็นสื่อ เช่น เสียงเพลง เสียงดนตรีไขลาน ช่วยในเรื่องของการเคลื่อนไหวและสายตา อาจจะใช้โมบาย การเสริมสร้างอารมณ์และสิ่งแวดล้อมที่สดใส ร่าเริงต่อลูกของเราในเวลาที่เหมาะสมจะเป็นสิ่งกระตุ้นต่อการพัฒนาการที่สำคัญยิ่งในอนาคต <br />
<br />
การพัฒนาการทางด้านร่างกายในอายุ 1 เดือน การเคลื่อนไหวแขน-ขา ก็จะคงเหมือนในช่วงแรกเกิด กล่าวคือ จะเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบแบบสะท้อนกลับ ยังไม่สามารถยกศีรษะได้ ถ้าจับตั้งก็จะตกไปข้างหน้า หรือแหงนไปข้างหลัง แต่อาจจะสามารถตะแคงข้างได้บ้าง เด็กจะจ้องมองสิ่งต่างๆ แต่จะยังไม่คว้าของ ลักษณะการมองสิ่งของจะสามารถมองตาม และแสดงสีหน้า ท่าทางสนใจตื่นเต้น เมื่อมองเห็นหน้าคนหรือของเล่น ในระยะใกล้ๆ โดยทั่วไปไม่เกิน 1 ฟุต นอกจากนี้ก็จะส่งเสียงโต้ตอบ อ้อแอ้ได้แล้ว อาจจะจำเสียงพ่อแม่ได้บ้าง <br />
<br />
เดือนที่ 2<br />
เด็กวัยนี้ เมื่อจับนอนคว่ำจะยกศีรษะขึ้นได้ประมาณ 45 องศา ในระยะสั้นๆ แต่ศีรษะยังตั้งได้ไม่แข็ง เริ่มที่จะจับถือสิ่งของได้นานขึ้น และอาจจะคว้าของได้ ชอบจ้องมองหน้าผู้คน ยิ้มให้คนใกล้ชิด และมองตาม ถ้ามีคนคอยเล่นด้วยก็จะตื่นได้นานขึ้น เด็กบางคนอาจจะนอนนานขึ้นในตอนกลางคืน ดังนั้นอาจจะนอนนานขึ้นในตอนกลางคืน ดังนั้นอาจจะตื่นเพื่อดูดนมเพียงครั้งเดียว ในช่วงวัยนี้จะกินนมทุกๆ 4 ชั่วโมง อาจจะได้นมวันละ 30-35 ออนซ์ เวลาร้องหิว ถ้าไม่ได้นมก็จะร้องมากจนบางครั้งทำให้พ่อแม่ตกอกตกใจไปตามๆ กัน <br />
<br />
ในช่วงที่เด็กตื่น จะมีการพยายามขยับแขน-ขา พลิกตัวไปมา บ้างก็ดูดนิ้วไปบ้าง การเคลื่อนไหวแบบนี้จะต้องระวังไว้บ้างเพราะอาจตกงานที่สูงหรือเตียงได้ การสื่อสารกับสังคมของเด็กวัยนี้จะแสดงโดยการยิ้ม และขยับแขน-ขา เตะขา บิดตัว และเด็กก็จะเริ่มจำเสียงของแม่ได้ นอกจากนี้เด็กบางคน ก็จะแสดงให้เห็นว่า เด็กมีความถนัดซ้ายหรือขวา ถ้าเราสังเกต ทั้งนี้จะต้องไม่มีสิ่งอื่นๆ ที่ผิดปกติทางร่างกาย เช่น ชอบนอนตะแคงขวา ชอบดูดนิ้วมือขวา ถ้าเราจับเปลี่ยนไปอีกทาง ก็อาจจะร้องไห้ <br />
อย่างไรก็ตาม เด็กจะเริ่มเรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ ท่านอนของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันเรียนรู้ การกินนมจากนมแม่หรือนมขวด เด็กจะพอใจกับการที่จะดูดนิ้วตัวเอง เป็นความพอใจเป็นความสุข เพราะการดูดจะทำให้เหมาะมีความรู้สึกผ่อนคลาย <br />
<br />
เดือนที่ 3<br />
เด็กจะเริ่มชันคอ หรือยกศีรษะขึ้นเมื่อนอนคว่ำได้แล้ว แต่บางคนคงจะยังไม่แข็งแรงมากนัก สามารถยกแขน และขาได้ ถ้าจับยืนเด็กจะเหยียบขายันพื้นได้ชั่วครู่ และเรายังจับให้เด็กนั่งลงได้ เริ่มคว้าของด้วยมือทั้งสองข้างบางครั้งก็จะยกมือขึ้นตีสิ่งของ เด็กจะยังคงดูดนิ้วและมองสิ่งของรอบๆ ข้างได้พร้อมๆ กัน <br />
<br />
ในระยะนี้เด็กจะเริ่มเรียนรู้โลกภายนอกมากขึ้น เริ่มที่จะสังเกตเสียงและสี รูปร่าง สนใจที่จะฟังเสียงต่างๆ ที่ผ่านเข้ามารอบตัว เด็กจะจำเสียงของพ่อแม่ได้ ส่วนการมองเห็นก็จะสามารถเห็นภาพสิ่งของได้ไกลขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้เด็กจะให้ความสนใจกับมือของตัวเองค่อนข้างมาก การใช้มือตีสิ่งของ คว้าสิ่งของเอามือเข้าปาก กำมือเข้าหากันต่างๆ เหล่านี้ เนื่องจากเด็กเริ่มมองเห็นชัดเจนมากขึ้น และเห็นมือซึ่งเป็นสิ่งใกล้ตัวที่จะเล่นด้วยได้ เด็กจะเริ่มจดจำพฤติกรรมการเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้ได้แล้ว การได้เล่น พูดคุย ยิ้ม และส่งเสียง เด็กก็จะเรียนรู้ทำความพอใจของตัวเอง สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขและเพลิดเพลินของตัวเอง ดังนั้น เด็กวัยนี้จึงชอบที่จะให้เราพูดคุยและเล่นด้วยเป็นส่วนใหญ่ไม่ชอบให้เราอยู่เฉยๆ ไม่ชอบอยู่คนเดียว เด็กจะสนใจสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทุกอย่าง การเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่ จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาของเด็ก แต่ก็ควรจะทำให้พอเหมาะ ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป </span><br />
[ <strong>ที่มา..นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 6 ฉบับที่ 66 มกราคม 2542</strong> ]</td></tr>
</tbody></table>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-74869239049793741222010-11-23T06:19:00.000-08:002010-11-23T06:24:22.538-08:00การพัฒนาทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><strong>พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย</strong></span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><br />
<strong><span lang="TH">ลักษณะเฉพาะของพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัย มีดังนี้</span></strong> </span><br />
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="background-color: white;"><span style="color: blue;">1. <span lang="TH">เด็กวัยอนุบาลเป็นวัยที่ใช้สัญลักษณ์ได้ สามารถที่จะใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งของวัตถุ</span><br />
<span lang="TH">และสถานที่ได้ มีทักษะการใช้ภาษาอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้ สามารถที่จะอธิบายประสบการณ์ของตนได้ ดังนั้นควรจัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสออกมาหน้าชั้น เล่าประสบการณ์ให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง แต่ครูควรจะพยายามส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเท่ากัน</span><br />
2. <span lang="TH">เด็กวัยนี้สามารถที่จะวาดภาพพจน์ในใจได้ การใช้ความคิดคำนึงหรือการสร้าง</span><br />
<span lang="TH">จินตนาการและการประดิษฐ์ เป็นลักษณะพิเศษของเด็กในวัยนี้ ถ้าครูจะส่งเสริมให้เด็กใช้การคิดประดิษฐ์ในการเล่าเรื่อง หรือการวาดภาพ ก็จะช่วยพัฒนาการด้านนี้ของเด็ก แต่บางครั้งเด็กอาจจะไม่สามารถแยกสิ่งที่ตนสร้างจากความคิดคำนึงจากความจริง ครูจะต้องพยายามช่วย แต่ไม่ควรจะใช้การลงโทษเด็กว่าไม่พูดความจริง เพราะจะทำให้เป็นการทำลายความคิดคำนึงของเด็กโดยทางอ้</span></span></span></span><br />
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="background-color: white;"><span style="color: blue;"> 3. <span lang="TH">เด็กในวัยนี้เป็นวัยที่มีความตั้งใจทีละอย่าง หรือยังไม่มีความสามารถที่จะพิจารณา</span><br />
<span lang="TH">หลาย ๆ อย่างผสม ๆ กัน เด็กจะไม่สามารถแบ่งกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลาย ๆ อย่างปนกัน ยกตัวอย่างการแบ่งกลุ่มของวัตถุที่มีรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ กัน เช่น สามเหลี่ยม วงกลม ฯลฯ จะต้องแบ่งโดยใช้รูปร่างอย่างเดียว เช่น สามเหลี่ยมอยู่ด้วยกัน และวงกลมอยู่กลุ่มเดียวกัน ถ้าผู้ใหญ่จะรวมวงกลมและสามเหลี่ยมผสมกัน โดยยึดสีเดียวกันเป็นเกณฑ์ เด็กวัยนี้จะไม่เห็นด้วย</span></span></span></span><br />
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="background-color: white; color: blue;"> 4. <span lang="TH">ความเข้าใจของเด็กเกี่ยวกับการเปรียบเทียบน้ำหนัก ปริมาตร และความยาว ยังค่อนข้างสับสน เด็กยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความคงตัวของสสาร ความสามารถในการจัดลำดับ การตัดสินใจของเด็กในวัยนี้ขึ้นกับการรับรู้ ยังไม่รู้จักใช้เหตุผล ครูที่สอนเด็กในวัยนี้จะสามารถช่วยเด็กให้มีพัฒนาการทางสติปัญญา ส่งเสริมให้เด็กมี สมรรถภาพ โดยพยายามเปิดโอกาสให้เด็กวัยนี้มีประสบการณ์ค้นคว้าสำรวจสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับครู และเพื่อนในวัยเดียวกัน และพยายามให้ข้อมูลย้อนกลับเวลาที่เด็กทำถูกหรือประสบผลสำเร็จ และพยายามตั้งความคาดหวังในสัมฤทธิผลให้เหมาะสมกับความสามารถของเด็กแต่ละคน</span> (<span lang="TH">สุรางค์ โค้วตระกูล </span>2541 : 79-80) </span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="color: blue;"><br />
</span></div><span style="color: blue;">เขียนโดย : nomnam</span>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-5870407443654758922010-11-23T06:14:00.000-08:002010-11-23T06:14:52.100-08:00ลักษณะของเด็กปฐมวัย<div class="post hentry"><a href="" name="7819256733769467262"></a><h3 class="post-title entry-title">บุคลิคลักษณะของเด็กปฐมวัย </h3><div class="post-header"><div class="post-header-line-1"></div></div><div class="post-body entry-content"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCBi6etO2CHDIWVSKzCEHlKftrFFCYhXN7I3xMR5KPW6VcRe7rpNP78j94YSmSyHr7BQE3WbxJsr1VGl25vbljFvqzqGNoqQ-duUHJeuVxAWsMktjJo_wZsvsnUkmXW0o7aBgshRnkQ70R/s1600-h/Image2[1].jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5168627170277891266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCBi6etO2CHDIWVSKzCEHlKftrFFCYhXN7I3xMR5KPW6VcRe7rpNP78j94YSmSyHr7BQE3WbxJsr1VGl25vbljFvqzqGNoqQ-duUHJeuVxAWsMktjJo_wZsvsnUkmXW0o7aBgshRnkQ70R/s320/Image2%5B1%5D.jpg" style="cursor: hand; float: left; margin: 0px 10px 10px 0px;" /></a><br />
<div><span style="font-family: arial; font-size: 180%;"><span style="font-size: large;">เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่เริ่มเข้าสู่การเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ซึ่งเด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่แสดงบุคลิคลักษณะของตัวเองออกมาอย่างเห็นได้ชัด คือ เด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่ซุกซน ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบเล่น ชอบท้าทาย เป็นวัยที่ชอบสำรวจ คือ อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง อยากถามคือจะชอบถามโน่นถามนี่อยู่เสมอ และวัยนี้จะชอบเล่นของเล่นมาก ไม่ค่อยเชื่อฟังและโมโหง่าย เอาแต่ใจตัวเองชอบอิจฉาผู้อื่น เช่น อิจฉาน้องตัวเอง และชอบเลียนแบบผู้อื่น เช่นจะเลียนแบบผู้ที่โตกว่า และนอกจากนี้เด็กจะเป็นวัยที่มีความคิดสร้างสรรค์ซึ่งจะดูได้จากการที่เด็กเล่นของเล่น</span></span></div><div style="clear: both;"><span style="font-size: large;"></span></div></div><div class="post-footer"><div class="post-footer-line post-footer-line-1"><span class="post-author vcard">เขียนโดย <span class="fn">Ann02</span> </span><span class="post-timestamp">ที่ <a class="timestamp-link" href="http://ann02.blogspot.com/2008/01/blog-post.html" rel="bookmark" title="permanent link"><abbr class="published" title="2008-01-16T20:50:00-08:00"><span style="color: #777766;">20:50</abbr></span></a> </span><span class="post-comment-link"></span><span class="post-icons"><span class="item-control blog-admin pid-1423939012"><a href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=693174017625698286&postID=7819256733769467262" title="แก้ไขบทความ"><img alt="" class="icon-action" height="18" src="http://img2.blogblog.com/img/icon18_edit_allbkg.gif" width="18" /><span style="color: #99ddff;"> </span></a></span></span></div><div class="post-footer-line post-footer-line-2"><span class="post-labels"></span></div><div class="post-footer-line post-footer-line-3"><span class="post-location"></span></div></div></div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-19690305362608589782010-11-17T03:26:00.002-08:002010-11-17T03:26:48.093-08:00นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">เรื่อง บ่างช่างยุ</span></b></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ผู้แต่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ภาพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย </span><span style="font-size: 16pt;">:</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';"> บจก</span><span style="font-size: 16pt;">.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">เอเธนส์ พับลิชชิ่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">69<span lang="TH">/</span>66</span><span style="font-size: 16pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">10400</span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">โทร </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 02-2520841 <a href="http://www.athens.co.th/">http://www.athens.co.th/</a></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ราคา </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 15 <span lang="TH">บาท</span></span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="TH">ณ ป่าแห่งหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและหากินของสี่เกลอ ได้แก่ เจ้านกฮูก เจ้าลิง เจ้าค้างคาว และเจ้าบ่าง เจ้าค้างคาวนั้นมักจะหาผลไม้กินได้มากสร้างความไม่พอใจให้เจ้าบ่างที่มักหาผลไม้ได้น้อย มันจึงไปยุยงเจ้าลิง และเจ้านกฮูกให้ขับไล่ค้างคาวออกจากป่าเพราะเจ้าค้างคาวหาผลไม้กินเก่ง ผลไม้อาจจะหมดป่า ไม่เหลือให้พวกเรากิน เจ้าลิงกับเจ้านกฮูกหลงเชื่อจึงพากันไปขับไล่ค้างคาวเจ้าค้างคาวจึงจำใจออกจากป่าไป ต่อมา เจ้าบ่างก็นึกริษยาเจ้าลิงที่สามารถห้อยโหนไปมาหาอาหารได้อย่างคล่องแคล้ว แต่ตัวมันไม่สามารถทำได้ มันจึงคิดหาทางขับไล่เจ้าลิงเช่นเดียวกับเจ้าค้างคาว มันจึงไปยุเจ้านกฮูกให้ช่วยกันขับไล่เจ้าลิงโดยอ้างว่า เจ้าลิงสามารถห้อยโหนไปมาหากินได้อย่างคล่องแคล้วเช่นนี้สักวันอาหารต้องหมดทั้งป่าแน่ เจ้านกฮูกหลงเชื่อเจ้าบ่างอีกจึงไปขับไล่เจ้าลิง แม้ว่าเจ้าลิงจะอ้อนวอนทั้งคู่แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเจ้าลิงก็ถูกขับไล่ไปในที่สุด ต่อมามานาน เจ้าบ่างเกิดไม่พอใจเจ้านกฮูกที่สามารถหาอาหารได้ในตอนกลางคืน มันต่อว่าเจ้านกฮูกจนทั้งคู่มีปากเสียงกันใหญ่โต สุดท้ายเจ้านกฮูก คิดได้ว่าเจ้าบ่างนี่แหละคือตัวปัญหาที่คอยริษยาและยุยงให้เพื่อนแตกแยกกัน มันจึงไปอยู่กับเจ้าค้างคาวและเจ้าลิงที่ถูกขับไล่ไปก่อนหน้านี้ เมื่อเพื่อนๆจากไปหมดแล้วก็ไม่มีสัตว์ตัวใดคบหาด้วย เนื่องจากได้ยินว่าเจ้าบ่างนั้นเป็นจอมยุยงเพื่อนให้แตกแยกกัน มันจึงอยู่อย่างเงียบเหงาเดียวดาย</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า</span></b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:: <span lang="TH">ไม่ควรคบกับบุคคลที่คอยพูดยุยงให้ผู้อื่นแตกแยกเพราะจะทำให้เราเสียเพื่อนได้</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;"><br />
</div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-20679417487565199102010-11-17T03:26:00.000-08:002010-11-17T03:26:13.394-08:00นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">เรื่อง สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ</span></b><b><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"></span></b></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ผู้แต่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ภาพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย </span><span style="font-size: 16pt;">:</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';"> บจก</span><span style="font-size: 16pt;">.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">เอเธนส์ พับลิชชิ่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">69<span lang="TH">/</span>66</span><span style="font-size: 16pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">10400</span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">โทร </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 02-2520841 <a href="http://www.athens.co.th/">http://www.athens.co.th/</a></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ราคา </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 15 <span lang="TH">บาท</span></span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าริมแม่น้ำอันเป็นที่อยู่และที่กินของเจ้าลิงน้อย ในแม่น้ำมีจระเข้เจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง มันอยากกินเจ้าลิงมากแต่เพราะเจ้าลิงนั้นอาศัยอยู่บนต้นไม้ จระเข้ไม่สามารถขึ้นไปกินได้ เจ้าจระเข้จึงคิดหาวีที่จะกินเจ้าลิง วันหนึ่งเจ้าลิงกำลังกินอาหารอยู่นั้น มันได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาทางริมน้ำ เจ้าลิงเกิดความสงสัยจึงไปดูที่มาของเสียงนั้นทันที ก็พบเจ้าจระเข้กำลังร้องไห้จึงถามจระเข้ว่า </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">“<span lang="TH">ทำไมเจ้าจึงมาร้องไห้อยู่ที่นี่ล่ะ</span>”<span lang="TH"> จระเข้ตอบว่า ฉันเป็นจระเข้แต่กลับว่ายน้ำไม่เป็นฉันรู้สึกอับอายจึงมาร้องไห้อยู่ที่นี่ไง เจ้าลิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะและคุยโอ้อวดว่า </span>“<span lang="TH">ฉันนะเป็นลิงที่ว่ายน้ำเก่งที่สุดในป่านี้เดี๋ยวฉันจะสอนเจ้าว่ายน้ำเอง</span>”<span lang="TH"> ตั้งแต่นั้นมา เจ้าลิงก็สอนว่ายน้ำให้เจ้าจระเข้ โดยเจ้าจระเข้ก็แสร้งว่ายน้ำไม่เป็นและอ้างว่า </span>“<span lang="TH">ฉันจำที่นายสอนไม่ได้นายช่วยลงมาว่ายให้ฉันดูเป็นตัวอย่างหน่อยสิ เจ้าลิงไม่รู้เท่าทันจึงหลงกลกระโจนลงจากต้นไม้ แล้วว่ายน้ำให้จระเข้ดู เจ้าจระเข้เห็นแบบนั้นก็พูดขึ้นว่า </span>“<span lang="TH">ฮะ เจ้าลิงโง่ขอบใจนะที่อุตสาห์ลงจากต้นไม้มาให้ฉันกิน ความจริงข้าว่ายน้ำเป็นอยู่หรอกไม่จำเป็นต้องให้เจ้าสอนหรอก</span>”<span lang="TH"> <span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เมื่อเจ้าจระเข้พูดจบก็โดดงับกินเจ้าลิงเป็นอาหารในทันที เจ้าลิงร้องด้วยความตกใจได้แต่นึกเสียใจที่ตนหลงกลให้กับเจ้าจระเข้</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><b>เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า</b> </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:: <span lang="TH">ไม่ควรสอนในสิ่งที่ผู้เรียนชำนาญอยู่แล้ว</span></span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"></span></div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-34701714955943615482010-11-17T03:25:00.001-08:002010-11-17T03:25:27.988-08:00นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">เรื่อง น้ำมาปลากินมดน้ำลดมดกินปลา</span></b><b><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"></span></b></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ผู้แต่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ภาพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย </span><span style="font-size: 16pt;">:</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';"> บจก</span><span style="font-size: 16pt;">.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">เอเธนส์ พับลิชชิ่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">69<span lang="TH">/</span>66</span><span style="font-size: 16pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">10400</span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">โทร </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 02-2520841 <a href="http://www.athens.co.th/">http://www.athens.co.th/</a></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ราคา </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 15 <span lang="TH">บาท</span></span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ณ หนองน้ำแห่งหนึ่ง มีฝูงมดอาศัยหากินและทำรังอยู่ที่ทุ่งหญ้าอันสวยงาม พวกมดนั้นล้วนขยันขันแข็งและสามัคคีต่างช่วยกันหาอาหารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และที่หนองน้ำใกล้ๆรังของฝูงมดนั้นมีปลาใหญ่อาศัยอยู่และจดจ้องรอคอยจังหวะที่จะกินฝูงมดแต่ยังไม่มีโอกาสเพราะไม่สามารถขึ้นมาบนฝั่งได้ และเมื่อถึงฤดูฝนฝนตกหนักถึงขั้นน้ำท่วมทำให้พวกมดต่างหวาดกลัวว่าน้ำจะท่วมถึงรังของมันและก็เป็นอย่างที่มดกลัวจริงๆน้ำได้ท่วมมาถึงรังมดทำให้พวกปลาต่างกรูกันเข้ามากินพวกมดอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่ฟังเสียงร้องขอชีวิตของมดเลย ครั้นพอถึงฤดูแล้ง อากาศร้อนจัด ต้นไม้ในป่าล้วนแห้งเหี่ยว สัตว์ป่าก็พากันล้มตาย แม่น้ำลำธารต่างเหือดแห้งจนบรรดาสัตว์น้ำไม่สามารถว่ายไปมาได้ ฝูงมดพบเจ้าปลาที่เคยกินเพื่อนๆมดเมื่อตอนน้ำท่วม กำลังนอนหายใจรวยรินจึงพากันเข้ามากัดกินปลาเป็นอาหารพวกปลาต่างร้องขอชีวิต เช่นเดียวกันกับคราวที่พวกมดร้องขอ แต่มดก็ไม่ฟังเสียงร้องขอใดๆต่างพากันกินปลาเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อย</span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><b>เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า</b> </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:: <span lang="TH">ทุกๆคนต่างทำเพื่อประโยชน์ของตนเองเมื่อมีโอกาสก็จะรีบฉวยโอกาสนั้น</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-91678802110742777132010-11-17T03:24:00.001-08:002010-11-17T03:24:50.944-08:00นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">เรื่อง กระต่ายตื่นตูม</span></b><b><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"></span></b></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ผู้แต่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ภาพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย </span><span style="font-size: 16pt;">:</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';"> บจก</span><span style="font-size: 16pt;">.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">เอเธนส์ พับลิชชิ่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">69<span lang="TH">/</span>66</span><span style="font-size: 16pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">10400</span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">โทร </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 02-2520841 <a href="http://www.athens.co.th/">http://www.athens.co.th/</a></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ราคา </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 15 <span lang="TH">บาท</span></span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>ณ ป่าอันแสนสงบสุข มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งเพิ่งกลับมาจากการวิ่งเล่นทั้งวัน มันรู้สึกอ่อนเพลียมาก มันเห็นว่าใต้ต้นมะพร้าวนี้ช่างร่มรื่น น่าพักผ่อน เจ้ากระต่ายจึงตัดสินใจนอนพักที่โคนต้นมะพร้าว ขณะที่เจ้ากระต่ายกำลังนอนหลับ จู่ๆก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้เจ้ากระต่ายตกใจตื่นมากจึงรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งวิ่งไปตระโกนไป </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">“<span lang="TH">แย่แล้วๆ แผ่นดินไหวๆ หนีเร็ว</span>”<span lang="TH"> สัตว์อื่นที่ได้ยินต่างตกใจรีบพากันวิ่งหนีตามเจ้ากระต่ายกันหมดจนมาเจอท่านสิงโตจ้าวป่า สิงโตจึงถามว่า </span>“<span lang="TH">พวกเจ้าหนีอะไรกันมา</span>”<span lang="TH"> สัตว์ทุกตัวต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า </span>“<span lang="TH">พวกเราหนีแผ่นดินไหวกันมา</span>”<span lang="TH"> สิงโตจึงให้เจ้ากระต่ายนำทางเพื่อไปดูที่เกิดเหตุว่ามีแผ่นดินไหวจริงหรือไม่ เมื่อสิงโตและสัตว์อื่นมาถึงที่เกิดเหตุก็ไม่พบว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น มีแต่เพียงลูกมะพร้าวหล่นอยู่ที่พื้นพียงลูกเดียวเท่านั้น</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า</span></b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"> </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:: <span lang="TH">อาการตระหนกตกใจจนเกินเหตุอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนได้</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6531653920161765613.post-6438354495560369602010-11-17T03:22:00.002-08:002010-11-17T03:22:56.628-08:00นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย<div align="center" class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">เรื่องฤาษีเลี้ยงลิง</span></b><b><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"></span></b></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ผู้แต่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ภาพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:<span lang="TH"> อภิสิทธิ์ สังขวารี</span></span><span style="font-size: 16pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย </span><span style="font-size: 16pt;">:</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';"> บจก</span><span style="font-size: 16pt;">.</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">เอเธนส์ พับลิชชิ่ง </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">69<span lang="TH">/</span>66</span><span style="font-size: 16pt;"> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt; mso-ascii-font-family: 'Times New Roman'; mso-hansi-font-family: 'Times New Roman';">ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพ </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">10400</span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">โทร </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 02-2520841 <a href="http://www.athens.co.th/">http://www.athens.co.th/</a></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">ราคา </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">: 15 <span lang="TH">บาท</span></span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 9pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><br />
</div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><span lang="TH">นานมาแล้ว มีฤาษีใจดีตนหนึ่งบำเพ็ญเพียรด้วยจิตเบิกบาน ในป่าอันสวยงามและอุดมสมบูรณ์ บริเวณใกล้ๆอาศรมของฤาษีนั้น เป็นที่อยู่อาศัยและหาอาหารของเจ้าลิงน้อย ด้วยความที่มีบ้านใกล้กัน เจ้าลิงและฤาษีจึงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี บ่อยครั้งที่ฤาษีนำเอาอาหารมาให้เจ้าลิง จนเจ้าลิงเคยตัวไม่ยอมไปหาอาหารกินเอง ฤาษีผู้ใจดีเลยต้องเลี้ยงเจ้าลิงไว้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกๆวันฤาษีต้องเอาอาหารมาให้เจ้าลิงถึงสามมื้อ แต่ด้วยเจ้าลิงนั้นแสนซุกซน ดื้อรั้น และมักสร้างความวุ่นวายให้กับฤาษีอยู่เป็นประจำทั้งรื้นค้นข้าวของ ขโมยอาหาร และทุบทำลายข้าวของ วันแล้ววันเล่าเจ้าลิงก็ไม่ยอมหยุดก่อเรื่องวุ่นวาย แต่ฤาษีผู้ใจดีก็ยังคงเลี้ยงดูเจ้าลิงด้วยความเมตตาไม่เสื่อมคลาย</span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;"><span style="mso-spacerun: yes;"> </span><b>นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า</b> </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 16pt;">:: <span lang="TH">การปกครองคนหรือคนหมู่มากที่ดื้อรั้นไม่อยู่ในระเบียบวินัยย่อมก่อความเดือดร้อนรำคาญ</span></span></div>nomnamhttp://www.blogger.com/profile/15840765848312710983noreply@blogger.com0